จากการดำเนินโครงการ “คนไทยก้าวไกล ใส่ใจการเงิน” โดยความร่วมมือระหว่างมูลนิธิซิตี้กับสถาบันคีนันแห่งเอเซีย
เพื่อแก้ปัญหาการขาดความรู้และทักษะด้านการเงินให้แก่ 3
กลุ่มที่มีปัญหาเข้าขั้นวิกฤติ ได้แก่ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มนักเรียน-นักศึกษา
และกลุ่มแรงงานรับจ้างรายได้ต่ำนั้น โดยในวันที่ 28 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา โครงการฯ
ได้จัดเวทีระดมสมองเรื่อง “ความรู้ทางการเงินเพื่อการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน” ระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน
เช่น สภาเกษตรกรแห่งชาติ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผู้แทนเครือข่ายเกษตรกรจากทั่วประเทศ เพื่อร่วมกันค้นหาสาเหตุของหนี้สินและแนวทางการพัฒนาองค์ความรู้ทางการเงินที่เหมาะสมให้แก่เกษตรกรไทย มีประเด็นหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจจากผู้แทนเกษตรกร
และการเปิดรับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ จากหลายหน่วยงานภาครัฐที่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหาหนี้สินเกษตรกร
และการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ ทำให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างหันกลับมามองว่า
แนวทางการพัฒนาเกษตรกรไทยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานั้น ได้ดำเนินการมาอย่างถูกทางแล้วหรือไม่
เพราะปัญหาหนี้สินครัวเรือนทั้งในระบบและนอกระบบของเกษตรกรไทยกำลังจะกลายเป็นมรดกตกทอดแก่รุ่นลูกรุ่นหลานในหลายๆ
ครอบครัว
นายเสน่ห์ วิชัยวงษ์
รองเลขาธิการสภาเกษตรกรแห่งชาติ ได้ให้ข้อคิดเห็นถึงปัญหาหนี้สินเกษตรกรว่าน่าจะเกิดจากความไม่สมดุลของวิวัฒนาการของภาคการเกษตรไทย
โดยกล่าวว่า “ในอดีตเกษตรกรไทยจะหาอยู่ หากินกับธรรมชาติ ดั่งคำกล่าวที่ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” พัฒนามาเป็น “การทำอยู่
ทำกิน” หรือส่วนที่เหลือจากการผลิตก็นำไปขาย
แต่เมื่อเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตได้เข้ามามีอิทธิพลในกระบวนการผลิต ในขณะที่เกษตรกรไม่มีความรู้ที่เพียงพอในการคิดคำนวณและการบริหารจัดการ
จึงส่งผลให้รูปแบบการผลิตของเกษตรกรไทยกลายเป็น “ลงทุน
ซื้ออยู่ ซื้อกิน” หรือก็คือ ผลผลิตที่ได้จากการเกษตรจะนำไปขายให้แก่นายทุน
และตนเองก็ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ จากนายทุนอีกทีหนึ่ง วัฏจักรดังกล่าวนี้จะไม่กลายเป็นปัญหา
หากเกษตรกรเป็นผู้กำหนดราคาขายผลผลิตทางการเกษตรได้ ดั่งเช่นที่นายทุนสามารถกำหนดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
แต่ในความเป็นจริง ราคาขายผลผลิตทางการเกษตรนอกจากจะถูกกำหนดราคาจากนายทุนแล้ว
เกษตรกรยังต้องรับมือกับความผันผวนของราคาสินค้าในตลาดโลกและจากปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่ทำให้เกิดความเสี่ยงทางด้านราคาอีกด้วย”
ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เสนอว่า
เพื่อการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน การทำบัญชีรับ-จ่ายในครัวเรือน และบัญชีต้นทุนประกอบอาชีพ จำเป็นต้องได้รับการส่งเสริมและมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง
และควรใช้กลไกของชาวบ้านในการดูแลกันเอง ดังเช่นที่กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ได้สร้างครูบัญชี
และเกษตรกรหรือปราชญ์ชาวบ้าน ซึ่งเป็นต้นแบบผู้นำชุมชนที่ประสบความสำเร็จ
ควบคู่ไปกับการบ่มเพาะต้นกล้าเยาวชน วิธีนี้ นอกจากจะสร้างแรงจูงใจ
ยกย่องและเชิดชูเกียรติของชาวบ้านแล้ว ยังสร้างแนวร่วมในการชักจูงและสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ร่วมกันในชุมชน
นอกจากนี้ยังมองว่าความร่วมมือของทุกภาคส่วนจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน
และองค์กรไม่แสวงหากำไรต่างๆ นั้น จะเป็นกลไกสำคัญในการรณรงค์เรื่องการให้ความรู้ทางการเงิน
และการจดบันทึกรายรับ-รายจ่ายต่างๆ
แก่เกษตรกรไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำมาซึ่งการกินดีอยู่ดี จากการลดภาระหนี้สิน
เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย และสร้างเงินออมให้แก่เกษตรกรไทยต่อไป
นอกจากนี้ ผู้แทนจากภาคการเกษตร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ได้ร่วมหารือและเสนอแนวทางการพัฒนาองค์ความรู้ทางการเงินที่เหมาะสมให้กับเกษตรกรไทย
โดยสามารถสรุปเป็นประเด็นสำคัญได้ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง จากปัญหาที่เกษตรกรไทยส่วนใหญ่มีความรู้ไม่สูงนัก
และขาดทักษะในการคิดคำนวณเป็นอย่างมาก ดังนั้น การคิดคำนวณเรื่องต้นทุนการผลิตพืชผลทางการเกษตรจึงเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด
หากเกษตรกรสามารถพัฒนาทักษะการคิดคำนวณเรื่องต้นทุนการผลิตพืชผลทางการเกษตรได้
จะช่วยให้เกษตรกรสามารถประเมินต้นทุนการเพาะปลูกของตนเองและสามารถควบคุมต้นทุนการผลิต
ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรได้
ประเด็นที่สอง
ช่องทางการให้ความรู้นั้น สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์ออมทรัพย์
หรือเครือข่ายกองทุนต่างๆ ภายในชุมชนเป็นหนึ่งในช่องทางที่สามารถเข้าถึงเกษตรกร โดยช่วยเป็นแรงผลักดัน
สนับสนุน และให้ความรู้ไปสู่เกษตรกรได้ ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านความรู้ทางการเงินควรส่งผู้เชี่ยวชาญหรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปให้ความรู้ผ่านกลุ่มผู้นำหรือเจ้าหน้าที่ชุมชนที่เกี่ยวข้อง
และให้ผู้แทนชาวบ้านเหล่านั้น นำไปถ่ายทอดและขยายผลต่อ อย่างไรก็ตาม
รูปแบบและเนื้อหาควรจะต้องปรับให้เหมาะสมกับลักษณะพื้นฐานของชุมชนเป็นสำคัญ
ประเด็นที่สาม เพื่อปรับทัศนคติต่อการออมและการเป็นหนี้
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีคติพจน์หลัก เพื่อเป็นเป้าหมายให้แก่ประชาชนทุกคนไม่เพียงแค่เกษตรกรเท่านั้น
โดยมุ่งเน้นให้มีความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการออม อาทิเช่น การเป็นประเทศที่ประชาชนมีฐานะการเงินที่มั่นคง
มีเงินออมที่พอเพียง และมีหนี้ที่ควบคุมได้ หรือไม่เป็นหนี้ เป็นต้น เพื่อให้เกิดกระแสมวลชนในการสร้างแรงกดดันและรณรงค์
เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและทัศนคติของการบริโภค และการบริหารจัดการการเงิน
ประเด็นที่สี่
สื่อควรเป็นอีกภาคส่วนที่ให้การสนับสนุนในการรณรงค์
เนื่องจากสื่อค่อนข้างมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและทัศนคติต่อการบริโภค
และการก่อหนี้ของภาคประชาชนค่อนข้างมาก นอกจากนี้
รายการที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อสังคม อาทิเช่น รายการ “หอมแผ่นดิน” ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ควรส่งเสริมให้มีการเผยแพร่ให้มากๆ และทั่วถึง
เพราะจะเป็นการยกย่องและเชิดชูการทำความดี
เพื่อให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบในทางที่ดีแก่สังคม
ประเด็นที่ห้า
ควรสร้างแบบอย่างหรือผู้นำ (Role Model) ทั้งในระดับประเทศและระดับชุมชน
โดยจำเป็นต้องยกย่องบุคคลที่ประสบความสำเร็จจากแนวทางการพึ่งพาตนเองในการแก้ไขปัญหาหนี้สิน
เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ประชาชนในชุมชน และสร้างความภาคภูมิใจการทำความดีต่อไป
ประเด็นที่หก ควรมีการให้เกียรติและยกย่องในอาชีพเกษตรกรไทย
เพื่อให้เกิดความรักและความภาคภูมิใจในวิชาชีพ โดยควรมีการจัดตั้งโรงเรียนเตรียมเกษตรกร
ดั่งเช่นวิชาชีพอื่นๆ เพื่อให้ความรู้ทั้งด้านการผลิตและการบริหารจัดการแก่เกษตรกร
นอกจากนี้ ควรมีการเสริมความรู้เพิ่มเติม อาทิ การนำปราชญ์ชาวบ้าน
ภูมิปัญญาท้องถิ่น และความรู้สมัยใหม่มาผสมผสานและเผยแพร่ให้แก่เกษตรกร
รวมทั้งมีการให้วุฒิบัตรเพื่อเป็นการสร้างการยอมรับและเป็นรางวัลแก่เกษตรกรที่เข้าร่วมอบรม
โดยสรุปพบว่า
แม้ว่าปัญหาการขาดความรู้ทางการเงินจะถูกกล่าวถึงและนำเสนอเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในขณะนี้
สิ่งสำคัญที่อาจจะเป็นสาเหตุหลักของปัญหาการก่อหนี้อย่างไม่ระมัดระวังของประชาชนในภาคต่างๆ
คือ ทัศนคติต่อเงิน (Attitude
to money) ในเรื่องการออม และการสร้างหนี้ ซึ่งเราจะพบว่า
ประชาชนส่วนใหญ่ยินดีที่จะบริโภคในปัจจุบัน มากกว่าเก็บหอมรอมริบเพื่อให้ได้ผลตอบแทนและสะสมเงินไว้เพื่อบริโภคในอนาคต
นอกจากนี้ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั้งในระบบและนอกระบบสถาบันการเงินนั้นก็เป็นไปค่อนข้างง่ายในปัจจุบัน
ยิ่งกลายเป็นตัวเร่งการบริโภคของภาคครัวเรือน และการเพิ่มขึ้นของหนี้สินภาคประชาชน
ดังนั้น การปรับทัศนคติที่มีต่อการออมและการก่อหนี้ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญ
รวมทั้งระวังเรื่องการออกนโยบายต่างๆ
ที่อาจจะนำไปสู่การสร้างพฤติกรรมทางการเงินที่ไม่มีวินัยแก่ภาคประชาชน ขณะเดียวกัน
การเร่งให้ความรู้ทางการเงินแก่ภาคประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มประชาชนที่มีความรู้ทางการเงินต่ำและมีความเสี่ยงสูงที่จะตกเป็นเหยื่อของความไม่รู้นั้น
ก็ยังคงเป็นสิ่งสำคัญอย่างเร่งด่วนที่ทุกภาคส่วนควรดำเนินการเป็นอันดับต้นๆ
*********************************************
เกี่ยวกับซิตี้
ธนาคารชั้นนำของโลก ที่ให้บริการแก่ลูกค้ากว่า
200 ล้านราย ในกว่า 160 ประเทศและเขตปกครองทั่วโลก ซิตี้นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่หลากหลายให้กับลูกค้าบุคคล องค์กร ภาครัฐและสถาบันต่างๆ โดยธุรกิจหลักครอบคลุมการธนาคารและสินเชื่อเพื่อลูกค้าบุคคล
(สายบุคคลธนกิจ) ธนาคารเพื่อองค์กรและการลงทุน (สายสถาบันธนกิจและวาณิชธนกิจ) ธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์
บริการธุรกรรมทางการเงินต่างๆ รวมถึงบริการบริหารความมั่งคั่ง
ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
www.citigroup.com | ทวิตเตอร์: @Citi | ยูทูป: www.youtube.com/citi
| บล็อก: http://new.citi.com |
เฟซบุ๊ก: www.facebook.com/citi
| ลิงก์อิน: www.linkedin.com/company/citi
เกี่ยวกับมูลนิธิซิตี้
มูลนิธิซิตี้มีภารกิจในการเสริมสร้างความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนต่างๆ
ทั่วโลก โดยให้ความสำคัญกับกิจกรรมด้านการมีส่วนร่วมและเข้าถึงด้านการเงิน (financial inclusion) เราประสานงานกับพันธมิตรชั้นนำเพื่อให้เกิดการพัฒนาเชิงเศรษฐกิจที่วัดผลได้แก่ครอบครัวและชุมชนที่มีรายได้น้อย ทั้งนี้
มูลนิธิซิตี้ดำเนินงานในลักษณะที่มากกว่าการบริจาคเงิน
โดยใช้ศักยภาพและต้นทุนด้านบุคลากรจากธุรกิจของซิตี้ในแต่ละประเทศเพื่อเพิ่มคุณค่าและผลกระทบในโครงการที่มูลนิธิฯ
ให้การสนับสนุน
ตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมูลนิธิซิตี้ได้ที่ www.citifoundation.com
เกี่ยวกับสถาบันคีนันแห่งเอเซีย
สถาบันคีนันแห่งเอเซีย ให้บริการในการบริหารโครงการ
ให้คำปรึกษา จัดการฝึกอบรม รวมถึงดำเนินการวิจัยให้แก่ ภาคธุรกิจ รัฐบาล และ
กลุ่มองค์กรระหว่างประเทศ สถาบันคีนันฯ
มีความเชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมผู้ประกอบการ การพัฒนาเศรษฐกิจและภาคธุรกิจ
นวัตกรรมการศึกษาและเยาวชน การสาธารณสุข การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และ
ความรับผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดระยะเวลากว่า 18 ปีในการสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทำให้สถาบันคีนันฯ ได้รับความไว้วางใจให้ดำเนินการ และบริหารจัดการโครงการ
รวมเป็นมูลค่ากว่า 46 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากภาคธุรกิจ รัฐบาล
และ กลุ่มองค์กรระหว่างประเทศ ท่านสามารถอ่านรายละเอียดข้อมูลของกิจกรรมต่างๆได้ที่
เฟซบุ๊ก: www.facebook.com/kenaninstituteasia | ลิงก์อิน: www.linkedin.com/company/kenan-institute-asia
No comments:
Post a Comment