ฮือฮากันมาบ้างแล้วในอดีตเมื่อประเทศภูฏาน
ได้ประกาศใช้ “ความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness-GNH) เป็นตัวกำหนดการดำเนินนโยบายภายใต้กรอบความคิดเพื่อสร้างความสมดุลระหว่างขนบธรรมเนียมประเพณีและความทันสมัย ระหว่างความมั่นคงทางเศรษฐกิจกับความเข้มแข็งของสังคมอันเกิดจากความพึงพอใจในคุณค่าแท้ของการบริโภคนั้นๆ โดยประเพณีดั้งเดิมแล้วประเทศส่วนใหญ่ในโลกเน้นการวัดผลเป็นตัวเงินผ่านผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ
(Gross Nation Product) หมายถึง
มูลค่าตลาดของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ถูกผลิตหรือใช้บริการภายในประเทศในช่วงเวลาหนึ่งๆ
โดยไม่คำนึงว่าผลผลิตนั้นจะผลิตขึ้นมาด้วยทรัพยากรของชาติใด
ในกรณีของประเทศภูฏานที่สร้างความแตกต่างในการสร้างนโยบายในการพัฒนาประเทศอิงตามความสุขของประชาชน
โดยชี้ให้เห็นว่าความเจริญทางเศรษฐกิจและการบริโภคแต่เพียงอย่างเดียว มิได้เป็นตัวบ่งชี้ถึงการเจริญก้าวหน้าและการพัฒนาของประเทศเสมอไป
เมื่อประชาชนมีความกินดีอยู่ดีจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ความสุขก็ไม่จำเป็นที่จะเพิ่มขึ้นตามระดับรายได้อีกต่อไป
(เข้าทำนองมีเงินก็ใช่ว่าจะมีความสุขเสมอไป)
และนี่คือจุดสำคัญที่ทำให้มุมมองการพัฒนาคุณภาพชีวิตเปลี่ยนไป
แนวคิดคุณภาพชีวิต
(Quality
of Life : QOL) เป็นแนวคิดที่นิยมใช้กันทั่วโลก
มีความเชื่อมโยงกับแนวคิดการพัฒนาทางสังคมแบบยั่งยืน ในประเทศไทยนั้นท่านอาจารย์ดร. ป๋วย อึ้งภากรณ์
ได้ให้ทัศนะคุณภาพชีวิตของคน โดยเริ่มตั้งแต่การอยู่ในครรภ์ของมารดา
ไปจนถึงการมีชีวิตตามความเหมาะสมกับอัตภาพ
เน้นด้านความเสมอภาคของคนที่จะได้รับบริการสังคมจากรัฐ สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้วนิยมใช้แนวคิดมาตรฐานคุณภาพชีวิตกับการพัฒนาแบบยั่งยืนเข้าด้วยกัน โดยเลือกใช้เฉพาะตัวชี้วัดที่สำคัญ ๆ เท่านั้น
ไม่นิยมใช้ตัวชี้วัดที่มีจำนวนมาก โดยที่ประเทศอังกฤษก็จะดูที่ 3
ตัวชี้วัดหลักคือเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
นักวิชาการต่างประเทศหลายท่านที่แสดงความชื่นชมรัฐบาล
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลในประเทศเล็กๆอย่างภูฏาน
หรือประเทศในกลุ่มยุโรปที่หันมาให้ความสนใจในเรื่องคุณภาพชีวิต ความสุขของประชาชน
ร่วมกับการพัฒนาในเชิงเศรษฐกิจในแบบดั้งเดิม แต่ก็ยังคงมีคำถามว่าจะวัด ความสุขอย่างไร
เพราะความสุขนั้นเป็นเรื่องความคิดเห็นส่วนบุคคล บางท่านอาจใช้คำว่า Subjective
หรือ อัตวิสัย ซึ่งถ้าวัดแต่ความสุขโดยดูเป็นความรื่นเริง ดีใจ
ในช่วงเวลาหนึ่งๆ ก็คงไม่เพียงพอในการชี้วัด
เพราะการจะมีความสุขนั้นขึ้นอยู่กับบริบทแวดล้อมอื่นๆ ทางด้านสังคมด้วย Dr. Martin Seigman นักจิตวิทยาชาวอเมริกา ได้ศึกษาร่วมกับนักวิชาการจากมหาวิทยาลัย
Cambridge โดยทำการศึกษากับกลุ่มประเทศในแถบยุโรบเรื่องของความสุข
เพราะต้องการค้นหาว่า อะไรคือความสุข ตัวชี้วัดความสุข
และการทำให้เกิดความสุขนั้นทำได้อย่างไร ในทัศนะของชาวตะวันตก Dr. Seigman ไม่เชื่อว่าความสุข
วัดได้แค่จากเรายิ้ม หัวเราะ เฮฮา หากแต่ตั้งคำถามที่ว่า ทำไมพ่อแม่ที่เหนื่อยยากลำบากในการเลี้ยงลูกจึงมีความสุข
ทำไมคนที่เป็นอาสาสมัครทำงานในพื้นที่ทุรกันดานแต่กลับมีความสุข แล้วความสุขคืออะไร
ต้องอยู่สบายจึงมีความสุขจริงหรือไม่ จากการศึกษาครั้งนี้พบว่าความสุขนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรื่นเริงของปัจเจกบุคคลเท่านั้น
แต่ยังขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของคนๆนั้นกับผู้อื่น
และความรู้สึกที่เขาเหล่านั้นจะสามารถประสบความสำเร็จเกี่ยวกับด้านใดด้านหนึ่ง
และความสำเร็จนั้นมีคุณค่ากับผู้อื่น การค้นพบเหล่านี้ดูเรียบง่าย
หากแต่จะนำไปสู่การปฏิบัติอย่างไรนั้นคงต้องไปทำการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการและถอดบทเรียนกันอีกครั้งหนึ่ง
คุณภาพชีวิตจึงไม่ใช่แค่การมองว่าวันนี้เรามีทรัพย์สิน
สิ่งของ ทรัพย์สฤงคารมา แต่ยังหมายถึงความคุ้มค่า และความพึงพอใจตามสภาพที่ตนเองเป็นอยู่
และที่สังคมได้รับผลกระทบ
ในวาระที่เป็นช่วงต้อนรับสิ่งใหม่ๆ ที่จะเข้ามาในช่วงปีใหม่นี้
จึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่เราจะคืนความสุขให้ตัวเอง ครอบครัว ชุมชน และสังคมรอบข้าง
ด้วยการเหลียวมองคุณภาพชีวิตที่ไม่ใช่แค่พลุดอกไม้ไฟ และงานเลี้ยงใหญ่โต
แต่การทำอะไรเพื่อคนอื่นๆ และร่วมสร้างความสุขร่วมกันในสังคมประเทศไทย
พีรานันต์ ปัญญาวรานันท์
ผู้จัดการฝ่ายความรับผิดชอบต่อสังคม
สถาบันคีนันแห่งเอเซีย
No comments:
Post a Comment