Sunday, June 30, 2013

Talking about Corporate Social Responsibility....รอยเท้าน้ำ


รอยเท้าน้ำ

พีรานันต์ ปัญญาวรานันท์

ที่ปรึกษาอาวุโส โปรแกรมความรับความผิดชอบต่อสังคมของภาคธุรกิจ

สถาบันคีนันแห่งเอเซีย

 

โลกเราเป็นดาวน้ำ มีน้ำเป็นองค์ประกอบกว่า 71% ในรูปแบบของของแข็ง ของเหลวและก๊าซ  วัฏจักรของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของน้ำเกิดขึ้นนับตั้งแต่โลกได้ถือกำเนิดมา ตลอดเวลาอันยาวนาน การเปลี่ยนแปลงสภาวะของน้ำนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภูมิประเทศทั่วโลก ชีวิตได้เกิดและดับไปหลายเผ่าพันธุ์ รุ่นแล้ว รุ่นเล่า แต่น้ำยังคงวัฏจักรของมันอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย …… นี่คือปาฐกถาของนาย Kofi Annan อดีตเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ เรื่อง ความจำเป็นของน้ำต่อชีวิต (Water is Essential for Life) ปัจจุบันการพัฒนาเมืองและเศรษฐกิจเป็นไปอย่างรวดเร็วจทำให้ความต้องการใช้น้ำทั้งในภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมจึงเพิ่มขึ้น ประกอบกับภาวะโลกร้อนที่ทำให้อุณหภููมิของโลกสูงขึ้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อการขาดแคลนน้ำเนื่องจากการผกผันของปริมาณฝนที่ตก และฤดูกาล

  องค์การสหประชาชาติประมาณไว้ว่า ภายในปี 2025 ประชากรโลกถึง 2 ใน 3 จะต้องอยู่ในภาวะขาดน้ำ โดยแอฟริกาเหนือ ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันตก จะเป็นภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบสาหัสที่สุด ดังนั้นหากมีการใช้น้ำอย่างไม่ระมัดระวังทั้งในภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรมโอกาสเกิด วิกฤตน้ำมีแน่นอน

จากการที่เราได้เข้าไปทำงานกับกลุ่มชุมชนที่อยู่ในบริเวณพื้นที่อุตสาหกรรมและพื้นที่ห่างไกล ปัญหาหนึ่งที่ได้รับการกล่าวถึงในทุกครัวเรือนคือปัญหาการขาดแคลนน้ำ โดยให้เหตุผลว่าต้นตอเกิดจากการจัดการทีไม่เป็นธรรมและขาดความสมดุล ระหว่างการทำอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ กับการทำเกษตรกรรมของประชาชนจำนวนมากแต่มีกำลังทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่า

ดังนี้แนวคิดเรื่อง Water Footprint จึงได้เกิดขึ้นเพื่อชะลอผลกระทบที่อาจเกิดจากปัญหาภาวะการขาดแคลนน้ำ โดยแนวคิดนี้เกิดจากการรวมตัวกันขององค์การระหว่างประเทศที่ตระหนักถึงความสำคัญของวิฤกติน้ำที่เกิดขึ้น เช่น UNESCO IFC WWF และ WBCSD ทั้งนี้ Water Footprint เป็นค่าชี้วัดการใช้น้ำของผลิตหรือผู้บริโภค โดยคำนวณปริมาณน้ำจากผลรวมของทุกขั้นตอนตลอดห่วงโซ่การผลิตสินค้าและบริการมีหน่วยเป็นลูกบาศก์เมตร หรือลูกบาศก์เมตรต่อคน ต่อปี โดยถือเป็นค่าชี้วัดที่ชัดเจนเพราะนอกจากจะแสดงปริมาณน้ำใช้และปริมาณน้ำเสียที่ปล่อยออกมาแล้ว ยังแสดงสถานที่และระยะเวลาที่เกิดการใช้น้ำอีกด้วย

                ตัวอย่างกรณีศึกษาด้าน CSR ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Water Footprint  เช่น กรณีที่เครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมไม่เสื่อมคลายนั่นคือกาแฟ ก็ยังมีความตระหนักและความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น เพราะหนึ่งจิบของกาแฟนั้นหมายถึง แหล่งเพาะปลูก น้ำที่ใช้เพาะปลูกเมล็ดกาแฟ น้ำตาล แรงงาน แก้วกระดาษที่นำมาใส่และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้บริษัทธุรกิจร้านกาแฟต้นตำหรับร้านกาแฟทั่วโลกได้ริเริ่มโครงการการบริหารจัดการน้ำภายในร้านของตนเองเป็นหลัก วิธีการ อาทิเช่น ระบบเครื่องกรองน้ำอัจฉริยะที่ช่วยทำให้ลดน้ำเสียและเพิ่มคุณภาพของน้ำในการชงกาแฟ มีการจัดตั้งตารางในการตรวจสอบรอยรั่วต่างๆ ในร้านเพื่อไม่ให้เสียน้ำไปโดยไม่จำเป็นทั่วทั้งร้าน นอกจากนั้นยังมีแผนในการเข้าไปดูแลระบบชลประทานเพื่อการเพาะปลูกเมล็ดกาแฟเพื่อลดการใช้น้ำอีกด้วย ในขณะที่ผู้ผลิตกาแฟและช็อกโกแลต อื่นๆ ก็ดำเนินรอยตามด้วย ซึ่งเมล็ดกาแฟจากสวนจะได้รับการตรวจสอบโดยองค์กรที่สาม อาทิเช่น  Rainforest Alliance ทั้งหมดนี้ก็เพื่อการสร้างสังคมการทำธุรกิจบนการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่มิได้หวังแต่ผลกำไรแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังคำนึงถึง 3 เสาหลักแห่งความยั่งยืนที่สำคัญอันได้แก่ สังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ  

 
สามารถติดตามอ่าน Blog จากคุณพีรานันต์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน CSR และวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากการอบรมด้าน CSR ได้ทุกเดือนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป (นอกจากนี้ยังสามารถอ่านได้จากหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ คอลัมน์ CSR Talk ได้ทุกๆ เดือนค่ะ)

No comments:

Post a Comment