เขียนโดย น.ส. สุวิภา ฉลาดคิด ผู้ช่วยที่ปรึกษา
โปรแกรมการพัฒนาเศรษฐกิจ ธุรกิจ และผู้ประกอบการ และ
น.ส. ศรีไพร ศรีพนมวรรณ นักศึกษาฝึกงานภายใต้โครงการซิตี้-ครูไทยพอเพียง
ในยุคสมัยนี้มีสิ่งดึงดูดใจมากมายที่สามารถดูดเงินในกระเป๋าของคุณครู
ให้พวกเขาต้องควักเงินในกระเป๋าจ่ายออกไปในทันทีทันใดที่รู้สึกว่า “อยากได้” ไปซะทุกที
ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร รองเท้า กระเป๋า และอีกมากมาย โดยสินค้าพวกนี้ก็ต้องมีพรีเซนเตอร์เป็นดาราดังๆที่กำลังอยู่ในกระแสฮอตฮิต ณ ขณะนั้นๆ เปรียบเสมือนเป็นกับดักโฆษณาอันล่อตาล่อใจแก่ผู้ที่
“อยากได้” และ “อยากมี” ดังกับต้องมนต์สะกด ทำให้เกิดอาการอดใจไม่ไหว ต้องรีบควักเงินในกระเป๋าไปซื้อสินค้าเหล่านั้นมาครอบครองเป็นของตนเองให้จงได้
คุณครูส่วนใหญ่มักจะจับจ่ายใช้สอยโดยใช้เงินในอนาคต
หน้าตาเงินในอนาคตหน่ะเหรอ? รูปร่างสี่เหลี่ยม ลักษณะแข็ง เวลาใช้จ่ายจะมีเสียง
รูดปรื๊ดๆ เรารู้จักกันดีในชื่อบัตรเครดิต
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้บัตรเครดิตเป็นที่นิยม
เนื่องจากเงินเดือนไม่เคยจะเหลือพอจนถึงสิ้นเดือน ไหนจะค่าใช้จ่ายส่วนตัว
ไหนจะภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว
ไหนจะต้องเข้าสังคมกับเพื่อนรวมงานอีกหล่ะ ดังนั้น จึงต้องหาแหล่งเงินสำรองเพื่อนำมาใช้จ่ายให้เพียงพอต่อรายจ่ายอันยาวเหยียด
อีกทั้ง สถาบันการเงินต่างๆ ก็ขยันออกโปรโมชั่น พร้อมของแถมมากมาย
การสมัครก็แสนง่ายดาย แค่เซ็นกริกเดียว ก็ได้บัตรมาอยู่ในมือซะแล้ว
หากพูดถึงเวลาใช้จ่าย
ยิ่งไม่ได้ถือเงินสดในมือ ถือเพียงบัตรแข็งๆ หนึ่งใบ
แต่สามารถซื้อทุกสิ่งที่ต้องการได้ชั่วพริบตา โดยรูดปรื๊ดๆ อ๋อ...
บัตรเครดิตนำมาซึ่งความสะดวกสบายแบบนี้นี่เอง ซึ่งไม่ได้คำนึงถึงอนาคตที่ต้องชำระเงินจริงๆ
สนใจเพียงแต่ความเพลิดเพลินในการใช้จ่าย ก็ยิ่งทำให้เรามองไม่เห็นคุณค่าของเงินอย่างแท้จริง
เมื่อเวลาที่สถาบันการเงินเรียกเก็บเงินจากบัตรเครดิตมาถึงเท่านั้นแหละ หลายคนถึงกับหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม
คำถามต่างๆ นานาแย่งกันผุดขึ้นมาในหัว เช่น นี่เราใช้เงินซื้ออะไรเยอะแยะเนี่ย สิ่งของที่เราซื้อก็ไม่ได้สลักสำคัญขนาดนั้นสักหน่อย
แล้วถ้าไม่มีเงินจ่ายบัตรเครดิตจะทำอย่างไร บางคนถึงกับต้องไปกู้เงินจากแหล่งอื่นเพื่อมาชำระหนี้บัตรเครดิต
และพอถึงเดือนถัดไป เหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ก็จะเกิดขึ้นอีกซ้ำๆ วนเวียนไปเรื่อยๆ
จนไม่รู้ตัวว่า..
เราจะปลดหนี้ได้เมื่อไหร่
นอกจากนี้
อันตรายจากบัตรเครดิตที่ทำให้หลายคนหลงใหล
บางครั้งถึงกับสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของคนๆ นั้นได้เลย ตัวอย่างเช่น
ก่อให้เกิดความอยากได้ที่ไม่มีขีดจำกัด ความต้องการที่จะยกระดับตัวเองจากการซื้อสินค้าราคาแพงๆ
ความรู้เท่าไม่ถึงการของการไม่ยั้งคิดในการใช้จ่าย เป็นต้น
ดังนั้น
ก่อนที่จะใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตแต่ละครั้ง ต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่า จริงๆ แล้ว
การใช้บัตรเครดิต ก็เปรียบเสมือนเราเป็นหนี้กับสถาบันการเงินเข้าให้แล้ว เราจึงต้องมีสติมากกว่าเดิมทุกครั้งที่เราจะใช้จ่าย
และถามตนเองเสมอว่า ในการใช้จ่ายเงินมากมายขนาดนี้ ลึกๆ แล้ว เราเพียงต้องการการยอมรับจากคนรอบข้างหรือเปล่า
หรือเราจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องซื้อสิ่งของเหล่านั้น หากไตร่ตรองแล้วพบว่า “ยิ่งใช้
ยิ่งจน” เราควรหยุดตัวเอง เพื่อไม่ให้เงินในกระเป๋าเราลดลง
หรือไม่ต้องไปเป็นลูกหนี้ใครมากกว่าเก่า
วิธีการง่ายๆ
ที่สามารถป้องกันการเป็นหนี้จากบัตรเครดิตได้ก็คือ การเปลี่ยนวิธีการจับจ่ายใช้สอย
โดยเปลี่ยนมาซื้อสินค้าด้วยเงินสดแทนจะดีกว่า เพราะเราจะรู้ถึงจำนวนเงินที่แท้จริงได้เลยว่า..
เรามีเงินในกระเป๋าเท่าไหร่ เราสามารถใช้จ่ายได้เท่าไหร่
และเป็นการบังคับให้เราไม่ใช้เงินเกินตัวอีกด้วย หากคุณลองนำวิธีคิดเหล่านี้ไปปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
คุณอาจมีเงินเพียงพอต่อการใช้จ่าย และอาจมีมากพอสำหรับการเก็บเงินก้อนโตที่คุณไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะออมได้
สุดท้าย คุณอาจจะไม่ต้องพึ่งพาการนำเงินในอนาคตมาใช้จ่ายอีกเลยก็เป็นได้
No comments:
Post a Comment