เยาวชน
คือ อนาคตของชาติ เป็นคำทั่วไปที่คนมักพูดถึง
หากแต่สังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงในวันนี้นั้น เกิดคำถามว่า เด็กและเยาวชนในปัจจุบันมีทักษะชีวิตที่เพียงพอต่อการก้าวมาเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตหรือไม่
แม้ภายใต้หลักสูตรการเรียนการสอนที่ดูจะบีบรัดอย่างมาก เพื่ออัดความรู้ทุกอย่างที่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องคิดว่าจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของเด็กในอนาคต
ไม่ว่าจะเป็นชีววิทยา ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ขั้นสูง และอื่นๆ อีกมากมาย
แล้วแม้ว่าจะมีการกล่าวว่า เด็กไทยขาดทักษะชีวิต
หากแต่เมื่อไปพลิกหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ก็จะพบว่า ในความเป็นจริง
ระบบการศึกษาไทยได้มีการบรรจุวิชาที่เกี่ยวข้องกับทักษะชีวิตแล้ว
โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อเน้นการสร้างความตระหนักถึงคุณค่าในตนเอง
การคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การจัดการกับอารมณ์และความเครียด
รวมทั้งการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น หากแต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้
ค่อนข้างจะเป็นนามธรรมที่วัดและประเมินยากในทางปฏิบัติ
สิ่งที่เราอาจจะใช้พิจารณาได้อย่างง่ายๆ คือ ภายใต้สถานการณ์หนึ่งๆ เด็กๆ มีกระบวนการคิด
วิเคราะห์และประมวลผล เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างไร และผลลัพธ์จากการตัดสินใจนั้นๆ
ดีเพียงพอหรือไม่อย่างไร
การมีทักษะชีวิตที่เพียงพอสำหรับเด็กและเยาวชนนั้น
เป็นประเด็นข้อกังขังจากสังคมระดับหนึ่ง จากผลการประเมินระดับความรู้และความสามารถในการประยุกต์ใช้
อย่าง PISA (Programme
for International Student Assessment)พบว่า ระดับความรู้ของเยาวชนไทยอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างน่าห่วง
PISA เป็นการประเมินที่ไม่ได้เน้นการคิดท่องจำ
แต่เน้นการกระบวนการคิด ตัดสินใจและใช้เหตุผลเพื่อแก้ไขปัญหา
รวมทั้งวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ
โดยสำรวจระดับความรู้ของเยาวชนอายุ 15 ปีที่จะเป็นอนาคตของชาติว่า
สามารถนำความรู้ต่างๆ ที่ร่ำเรียนมาไปปรับใช้ในชีวิตจริงได้อย่างไร
หรือที่เรียกว่า การรู้เรื่อง (Literacy)
ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ด้านสำคัญๆ
ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหลักในการดำเนินชีวิตและพัฒนาตนเองและสังคม 1. ความรู้เรื่องการอ่าน
(Reading Literacy) คือ
การอ่านและสามารถนำสิ่งที่อ่านมาคิดวิเคราะห์ และสะท้อนเป็นความคิดตัวเองได้ 2. การรู้เรื่องคณิตศาสตร์
(Mathematics Literacy) ไม่ใช่แค่การบวกลบคูณหาร
หรือถอดสมการ แต่คือการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ
รอบตัวด้วยขบวนการเชิงคณิตศาสตร์ 3.การรู้เรื่องวิทยาศาสตร์
(Science Literacy) ไม่ใช่แค่หลักการทางฟิสิกส์
เคมีและชีววิทยา แต่คือการใช้ความรู้และความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ในการระบุปัญหา ค้นคว้าข้อมูล และใช้ประจักษ์พยานทางวิทยาศาสตร์
จากผลการประเมิน PISA ล่าสุดในปี
2555 นั้น
พบว่า คะแนนเฉลี่ยทั้ง
3 ด้านของเด็กไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งหมด
65 ประเทศที่สำรวจในครั้งนี้
และเมื่อเทียบระดับคะแนนกับประเทศต่างๆ พบว่า เด็กไทยมีความรู้อยู่ในลำดับที่ 50 ขณะที่ประเทศอื่นๆ
อาทิเช่น เซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ ฮ่องกง จีน เกาหลีและญี่ปุ่น อยู่ใน 6 ลำดับแรก
ส่วนประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น เวียดนาม
ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจและการพัฒนาที่เป็นรองกว่าประเทศไทย อยู่ในลำดับที่ 17 นอกจากนี้
มาเลเซียอยู่ในลำดับที่ 52
และอินโดนีเซียอยู่ในลำดับที่ 64 ดังนั้น
นี่อาจจะเป็นเพียงแค่หนึ่งของตัวชี้วัดว่า ในความเป็นจริงแล้ว
การร่ำเรียนและท่องจำตำราอย่างหนักของเด็กไทยนั้น อาจไม่ใช่แนวทางในการพัฒนาขีดความสามารถ
และทักษะชีวิตที่เพียงพอต่อการก้าวเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต
ความรู้ทางการเงินเป็นอีกประเด็นหนึ่ง
ที่เป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตของประชาชนในทุกกลุ่ม
เพราะเงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนในชีวิตประจำวัน
หากแต่การบริหารการเงินและการวางแผนทางการเงินก็เป็นทักษะพื้นฐานที่ควรมีในประชาชนทุกคน
แต่ในความเป็นจริง ไม่อาจจะเป็นเยี่ยงนั้น จากผลการสำรวจระดับความรู้ทางการเงินของคนไทยในกลุ่มต่างๆ
ในปี 2556
โดยกระทรวงการคลัง
พบว่า
นักเรียนนักศึกษาเป็นกลุ่มที่มีความรู้ทางการเงินในด้านต่างๆ
เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ หรือก็คือ กว่า 50% ของนักเรียนประถมศึกษา และมัธยมศึกษา และประมาณ 47% ของนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่มีคะแนนต่ำกว่า
มีคะแนนอยู่ในระดับต่ำที่สุด (L1)
และระดับต่ำ (L2) จากทั้งหมด 6 ระดับ
โดยประชาชนส่วนใหญ่จะมีระดับความรู้ที่ปานกลางค่อนข้างต่ำ (M1) เป็นอีกประเด็นที่น่าตกใจ
เพราะในเมื่อหลักสูตรการเรียนของเด็กๆ ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงมหาวิทยาลัย
ได้มีเนื้อหาและหลักสูตรต่างๆ เหล่านี้รวมอยู่แล้ว แต่ทำไม
เด็กรุ่นใหม่ยังคงขาดทักษะด้านนี้อยู่
ผลการสำรวจเหล่านี้ อาจเป็นเพียงตัวชี้วัดหนึ่งที่ก่อให้เกิดคำถามในวันนี้ว่า
จริงแล้วหรือ ที่เยาวชนไทยมีทักษะชีวิตที่เพียงพอในการจัดการและแก้ไขปัญหาต่างๆ
ที่กำลังจะก้าวเข้าในชีวิตพวกเขา
ด้วยเหตุนี้
การประชุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องครั้งที่ 2 ของโครงการวิจัย “คนไทยก้าวไกล ใส่ใจการเงิน” โดยสถาบันคีนันแห่งเอเชีย ร่วมกับมูลนิธิซิตี้
จึงจัดเวทีเสวนาระดมสมองในประเด็นเรื่อง “การพัฒนาทักษะชีวิตเรื่องความรู้ในการบริหารการเงินส่วนบุคคล
สำหรับกลุ่มนักเรียนนักศึกษา” ขึ้นในวันที่ 28 กรกฎาคม 2557 ที่โรงแรมวินเซอร์
สวีทส์ แอนด์ คอนเวนชั่น โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาไทย อาทิเช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
รวมทั้งหน่วยงานที่สนับสนุนและผลักดันเรื่องการให้ความรู้ทางเงินต่างๆ เช่น
ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
และที่สำคัญคือ ตัวแทนเยาวชนจากทั่วประเทศ มาร่วมระดมสมอง
เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาความรู้ด้านการบริหารการเงินส่วนบุคคลแก่กลุ่มเยาวชนต่อไป
No comments:
Post a Comment