Showing posts with label หนี้ครู. Show all posts
Showing posts with label หนี้ครู. Show all posts

Monday, December 2, 2013

พูดถึงเรื่องเงินๆ ทอง......“กองทุนรวม… อีกหนึ่งทางเลือกการออมเงิน”


กองทุนรวมอีกหนึ่งทางเลือกการออมเงิน
เขียนโดย น.ส. สุวิภา ฉลาดคิด ผู้ช่วยที่ปรึกษา โปรแกรมการพัฒนาเศรษฐกิจ ธุรกิจ และผู้ประกอบการ

เมื่อเรามีวินัยในการออมเงิน เราก็จะเริ่มมีเงินเก็บ ทีนี้หล่ะ.. โอกาสที่จะบริหารเงินเก็บของเราให้งอกเงยก็มีเพิ่มมากขึ้น แต่เชื่อว่า ครูหลายท่านยังคงเลือกที่จะเก็บเงินไว้ในบัญชีธนาคาร ซึ่งดอกเบี้ยที่ได้รับนั้นค่อนข้างน้อย และมักจะน้อยกว่าเงินเฟ้อเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น หากอยากทำให้เงินเก็บของเรางอกเงยเติบโต เราควรมองหาทางเลือกการออมเงินแบบอื่นที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

วลีที่ว่า “ให้เงินทำงานแทนเรา” ยังคงนำมาใช้ได้ เพราะการทำเงินเก็บให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นนี่แหละ บางครั้งสำคัญมากกว่าการหารายได้มาใช้ในชีวิตประจำเสียอีก ความลับก็คือ “เคล็ดลับความรวยอยู่ที่วิธีการบริหารเงิน ไม่ใช่การหาเงิน  หากเรารู้ถึงพลังของดอกเบี้ยทบต้น ที่ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่ทบต้นไปเรื่อยๆ จนทำให้เราได้เงินเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ และหากเรารู้ถึงความสำคัญของระยะเวลาในการออมเงินว่า ออมก่อนรวยกว่า แล้วนั้น เราก็จะสามารถบริหารเงินออมของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

อีกหนึ่งวลีที่ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” ก็เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ดังนั้น การลงทุนในอะไรก็ตาม เราต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ พอสมควร หากเราไม่รู้ นั่นก็คือความเสี่ยงและมีโอกาสที่จะขาดทุนได้ เพราะฉะนั้น การลงทุนผ่านกองทุนรวมจึงเป็นทางเลือกที่ดี เพราะอย่างน้อย กองทุนรวมก็มีมืออาชีพที่เรียนด้านนี้มาติดตามข้อมูลข่าวสารทุกวัน คอยดูแลเงินแทนเรา หน้าที่เราก็คือ ต้องเลือกกองทุนให้ถูกตัวถูกเวลา เนื่องจากกองทุนรวมในประเทศไทยมีหลายร้อยตัวให้เลือก เราจึงต้องพิจารณาจาก “ต้องการความเสี่ยงระดับไหน และผลตอบแทนแบบไหน?” แต่ถ้าแบบที่ต้องการคือ แบบไม่เสี่ยงและได้ผลตอบแทนเยอะๆ นั้น ต้องบอกเลยว่า.. ไม่มี! เพราะหลักการเรื่องความเสี่ยงก็คือ “อะไรที่ให้ผลตอบแทนสูงจะมีความเสี่ยงสูง อะไรที่มีความเสี่ยงต่ำจะให้ผลตอบแทนต่ำ

มาทำความรู้จักกองทุนรวมกัน*

กองทุนรวม คือ โครงการที่จัดตั้งขึ้น โดยการนำเงินของแต่ละคน ซึ่งถือเป็นนักลงทุนรายย่อยทั้งหลาย มากองรวมกันให้เป็นก้อนใหญ่ โดยผู้ลงทุนจะได้หน่วยลงทุนเป็นหลักฐานการมีส่วนร่วมในกองเงินดังกล่าว กองเงินนั้นๆ จะมีมืออาชีพทางด้านการลงทุน ทำหน้าที่ในการนำเงินไปลงทุน และเมื่อมีดอกผลจากการลงทุนก็จะนำมาเฉลี่ยกลับคืนให้กับผู้ที่ลงเงินไว้ในคราวแรก ทั้งนี้ กองทุนแต่ละกองทุนที่ถูกจัดตั้งขึ้นจะมีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างกันไป แต่นโยบายการลงทุนของกองทุนหนึ่ง จะถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เช่น กองทุนหุ้นปันผล กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เป็นต้น

ดอกผลที่เกิดจาการลงทุนผ่านกองทุนรวมนั้น จะมีอยู่ 2 แบบ คือ หนึ่ง-เงินปันผล ซึ่งบางกองทุนจะมีนโยบายการจ่ายเงินปันผล บางกองก็อาจจะไม่มี แต่จะเก็บส่วนกำไรไว้ในรูปของมูลค่ากองทุนที่เพิ่มขึ้น สอง-ส่วนต่างของราคาหลักทรัพย์ หากกองทุนไม่ได้ปันผลออกมา แต่กำไรที่ได้จากการลงทุนก็จะถูกนำไปลงทุนเพิ่ม ซึ่งรวมอยู่ในมูลค่าสุทธิของกองทุนนั่นเอง

ส่วนประเภทของกองทุนรวมนั้น หากแบ่งตามลักษณะการจัดจำหน่ายและการรับซื้อคืน จะสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ กองทุนปิด และกองทุนเปิด โดยกองทุนปิด คือ กองทุนที่บริษัทจัดการจะไม่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนจนกว่าจะครบกำหนดอายุกองทุนรวม กองทุนประเภทนี้จะกำหนดจำนวนหน่วยลงทุนและอายุของกองทุนไว้แน่นอน ซึ่งกองทุนปิดมักจะเป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ส่วนกองทุนเปิด คือ กองทุนที่บริษัทจัดการเปิดขายหน่วยลงทุนและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนจากผู้ลงทุนตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในโครงการ เช่น เปิดทำการซื้อขายเดือนละครั้ง สัปดาห์ละครั้ง หรือทุกวันทำการ โดยทั่วไปอายุของกองทุนจะยาวหรือไม่มีกำหนดโครงการ

แต่หากแบ่งกองทุนออกไปตามชนิดการลงทุน จะสามารถแบ่งออกได้เยอะแยะมาก ตัวอย่างเช่น

·       กองทุนรวมตราสารทุน – ลงทุนในหุ้นเป็นหลัก

·       กองทุนรวมตราสารหนี้ – เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน หรือ เงินฝากต่างๆ และแบ่งย่อยออกเป็น กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น และ กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว

·       กองทุนรวมแบบผสม – จะเป็นแบบผสมทั้งหุ้นและตราสารหนี้ เช่น ลงทุนในหุ้น 40% ในตราสารหนี้ 60% โดยจะสลับสัดส่วนที่เหมาะสมตามสภาพเศรษฐกิจ

·       กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ – กองทุนรวมที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เช่น ตึกขนาดใหญ่ เพื่อปล่อยเช่าทั้งตึก แล้วนำค่าเช่ามาแบ่งปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุน หรือ ลงทุนในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โรงหนังขนาดใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรมให้เช่า ฯลฯ

·       กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) – กองทุนรวมที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก และหุ้นบ้างเล็กน้อย โดยมีข้อดีคือ มูลค่าการลงทุนในแต่ละปี สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 300,000 บาท (ไม่เกิน 15% ของรายได้) โดยเฉลี่ยจะได้ผลตอบแทนปีละ 3-5% แต่มีข้อเสียคือ ต้องไปไถ่ถอนตอนอายุ 55 ปีขึ้นไป ซึ่งทำให้มีสภาพคล่องต่ำมาก

·       กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) – กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น แต่ต่างจากกองทุนรวมหุ้นตรงที่วิธีซื้อขาย และมีสิทธิทางภาษีที่เหมือน RMF ตรงที่ มูลค่าหน่วยลงทุนที่ซื้อสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ และต้องถือครองเพียง 5 ปีปฏิทิน

·       กองทุนรวมอื่นๆ – เช่น กองทุนรวมที่ลงทุนในทองคำ ฯลฯ

ประโยชน์จากการลงทุนกับกองทุนรวม

1.             มีมืออาชีพมาบริหารเงินให้ – การลงทุนในกองทุนรวม คือ การรวมเงินกัน แล้วนำไปจ้างมืออาชีพซึ่งก็คือ บลจ. (บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน จำกัด) มาบริหารให้ ในบลจ. จะมีผู้ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะในเรื่องที่จะลงทุน เช่น หุ้น ตราสารหนี้ อสังหาฯ หรือทองคำ โดยคนเหล่านี้อาจจะจบมาทางนี้ และมีการติดตามแนวโน้มการลงทุนต่างๆ อยู่ทุกวัน ซึ่งก็คงจะดีกว่าเราไปทำเอง ทั้งไม่รู้ และไม่มีเวลาไปติดตามข้อมูลแบบนั้น

2.             มีการกระจายความเสี่ยง – กองทุนมีเงินจำนวนมาก ซึ่งสามารถกระจายไปลงทุนในหลักทรัพย์หลายตัว เพื่อลดความเสี่ยง

3.             มีสภาพคล่องดี – สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวัน หรือได้ทุกครั้งที่เราต้องการเงินมาใช้

4.             มีทางเลือกมากมาย – แต่ละธนาคารก็มักมีบลจ. เป็นบริษัทในเครือ ที่ขายกองทุนมากกว่า 30 ประเภทให้เราได้เลือกในแบบที่มีผลตอบแทน และความเสี่ยงที่เหมาะสมกับเราเอง

5.             มีสิทธิทางภาษี ได้ลดหย่อนภาษี – นอกจากจะได้กำไรจาการลงทุนแล้ว ยังได้กำไรจากภาษีที่ได้ลดด้วย

           ทั้งนี้ ในการที่จะเลือกลงทุนในกองทุนรวมใดๆ เราต้องศึกษาข้อมูลกองทุนรวมนั้นๆ จากหนังสือชี้ชวน ซึ่งจะมีรายละเอียดทั้งหมดของโครงการกองทุนรวมแสดงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุประสงค์และนโยบายการลงทุน ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่างๆ คำเตือน หรือความเสี่ยง ดังนั้น จึงถือได้ว่าเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ต้องอ่านและศึกษาอย่างละเอียด เพื่อช่วยสร้างภูมิป้องกันความผิดพลาดจากการลงทุน

นอกจากนี้ การลงทุนที่ได้ผลจะต้องสอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตของแต่ละบุคคลด้วย ดังนั้น ควรสำรวจเป้าหมายชีวิตของตนเองให้ชัดเจนและจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของเป้าหมายนั้นๆ แล้วจึงนำมาใช้เป็นโจทย์ในการวางแผนทางการเงินของตนเอง

สุดท้ายนี้ สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงอยู่เสมอก็คือ ความรู้ เพราะความเสี่ยงที่สุดก็คือ ความไม่รู้และความไม่เข้าใจในสิ่งที่เราลงทุนจริงๆ หรือมีประสบการณ์น้อย ทำให้มีความเสี่ยงมาก ในขณะที่ผลตอบแทนที่จะได้อาจไม่ได้เพิ่มตาม ซึ่งส่งผลทำให้ได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้น หากคิดที่จะลงทุนแล้ว ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้านการเงินการลงทุนอยู่เสมอ จะได้มีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจเลือกการลงทุนได้อย่างเหมาะสม และสามารถทำให้เงินเก็บงอกเงยได้อย่างแท้จริง

 
*แหล่งที่มาของข้อมูล: หนังสือ “บริหารเงินเก็บผ่านกองทุนรวม” โดย มนตรี แสงเดชา

 

 

 

Wednesday, July 10, 2013

Talking about development....พูดถึงเรื่องเงินๆทองๆ


 
ฝากเงินแบบไหนดี...ที่เหมาะกับตัวคุณ
 


เขียนโดย น.ส. สุวิภา ฉลาดคิด ผู้ช่วยที่ปรึกษา โปรแกรมการพัฒนาเศรษฐกิจ ธุรกิจ และผู้ประกอบการ และ
น.ส. ศรีไพร ศรีพนมวรรณ นักศึกษาฝึกงานภายใต้โครงการซิตี้-ครูไทยพอเพียง
 

คุณครูบางท่านอาจจะออมเงินโดยการหยอดกระปุกหรือแอบซ่อนเงินไว้ตามที่ต่างๆภายในบ้าน ซึ่งบางครั้งก็จำไม่ได้ว่าเก็บเงินซ่อนเอาไว้ที่ไหนบ้าง ที่แย่กว่านั้นคือ เงินที่เราซ่อนไว้อย่างดีอาจหายได้หากใครบังเอิญเจอแล้วหยิบไปโดยที่เราไม่รู้ ที่สำคัญวิธีการออมเงินแบบนี้ไม่ได้ช่วยทำให้เงินของเรางอกเงยขึ้นมาเลย เก็บเงินไว้จำนวนเท่าไหร่ ก็ยังคงเป็นจำนวนเท่าเดิม แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไป มูลค่าของเงินจะลดลงด้วยซ้ำ เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทุกวันๆ เพราะฉะนั้น เราควรมองหาทางเลือกอื่นในการเก็บออมเงินกันดีกว่า

หนึ่งในทางเลือกสำหรับการออมเงินที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดี ก็คือ การฝากเงินในธนาคาร ซึ่งก็มีบริการรับฝากเงินอยู่หลายประเภท แต่คนส่วนใหญ่มักจะเลือกฝากเงินในประเภทออมทรัพย์เพียงอย่างเดียว ดังนั้น เรามาทำความรู้จักกับเงินฝากประเภทต่างๆ ของธนาคาร รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยของเงินฝากประเภทนั้นๆ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของเราที่แตกต่างกันให้มากขึ้นกันเถอะ

·       เงินฝากประเภทออมทรัพย์

เป็นการฝากเงินที่มีสภาพคล่องสูง โดยสามารถฝากและถอนเมื่อใดก็ได้ และไม่มีการจำกัดจำนวนเงินฝาก ยกเว้นการเปิดบัญชีครั้งแรก จะกำหนดเงินฝากขั้นต่ำ 500 บาท นอกจากนี้ ยังมีความสะดวกในการเบิกถอนด้วยบัตร ATM หรือบัตรเดบิต การออมทรัพย์ประเภทนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินระยะสั้น และมีการหมุนเวียนเงินใช้จ่ายประจำ การฝากเงินแบบออมทรัพย์จะได้รับดอกเบี้ยปีละ 2 ครั้งเท่านั้น โดยดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 0.75

·       เงินฝากประเภทประจำ

เงินฝากประเภทนี้เป็นการฝากเงินแบบมีระยะเวลากำหนด โดยธนาคารจะจ่ายเงินคืนเมื่อสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยทั่วไปมักแบ่งเป็นประเภท 3 เดือน 6 เดือน 12 เดือน 24 เดือน และ 36 เดือน ซึ่งจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอน และสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ระหว่างร้อยละ 1.60-3.35 โดยธนาคารจะมีการกำหนดจำนวนเงินฝากขั้นต่ำเอาไว้ด้วย
·       เงินฝากประเภทประจำแบบปลอดภาษี/ทวีทรัพย์

เป็นเงินฝากประจำที่รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีจากรายได้ดอกเบี้ยเงินฝาก (ธนาคารไม่หักภาษี ณ ที่จ่าย) เมื่อฝากเงินเป็นรายเดือนเท่ากันทุกเดือนจนครบ 24 เดือน หรือ 36 เดือน เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการกระตุ้นและส่งเสริมให้ประชาชนมีวินัยในการออมเงินเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง โดยธนาคารจะกำหนดจำนวนเงินขั้นต่ำ 1,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท ซึ่งมีสิทธิผิดนัดในการนำเงินเข้าบัญชีได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ทั้งนี้ สามารถเปิดบัญชีประเภทฝากประจำแบบปลอดภาษีได้เพียงหนึ่งบัญชี ต่อหนึ่งคนเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการเงินใดก็ตาม

·       เงินฝากประเภทกระแสรายวัน

เงินฝากประเภทนี้เป็นเงินฝากที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในธุรกิจ หรือเหมาะกับผู้ที่มีเงินหมุนเวียนเป็นประจำ โดยปกติบรรดาผู้ประกอบการจะใช้บัญชีนี้ในการออกเช็คเพื่อชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ในกิจการของตนเอง และสามารถใช้วงเงินเบิกเกินบัญชี (โอดี) ได้เพื่อเพิ่มความคล่องตัว ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องทำเรื่องกู้เพื่อขอวงเงินนี้จากทางธนาคาร ทั้งนี้ เงินที่เข้าออกผ่านบัญชีนี้ธนาคารจะไม่ถือว่าเป็นเงินฝากของธนาคาร เนื่องจากเป็นเงินที่หมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา

·       สลากออมสิน

เป็นรูปแบบหนึ่งของการออมเงินที่ให้คุณฝากเงินกับทางธนาคาร พร้อมมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลต่างๆ มากมายได้เหมือนกับซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลเลยทีเดียว แต่การชื้อสลากออมสินนั้น หากไม่ถูกรางวัล จะไม่สูญเสียเงินต้น แถมยังจะได้รับดอกเบี้ยตามอัตราที่ธนาคารกำหนดอีกด้วย เช่น สลากออมสินพิเศษ 3 ปี จะได้รับดอกเบี้ยร้อยละ 2.75 ต่อปี เป็นต้น

ประเภทบัญชี

รายละเอียด

ฝาก

ถอน

ระยะเวลา

จำนวนเงิน

ดอกเบี้ย

ภาษี

ATM

ออมทรัพย์ / สะสมทรัพย์

ฝาก ถอน ออมเงิน หมุนเวียนบัญชีได้อย่างคล่องตัว

บ่อยเท่าที่ต้องการ

บ่อยเท่าที่ต้องการ

ไม่กำหนด

ไม่จำกัด

ต่ำสุด / ลอยตัว
(0.70 - 2.75%)

15%

มี

ฝากประจำ

ออมเงินตามกำหนดเวลา เงินก้อนผลิดอกออกผล รับดอกเบี้ยสูงกว่าในอัตราที่แน่นอน

บ่อยเท่าที่ต้องการ

ตามกำหนด

3, 6, 12, 24, 36 เดือน

ขั้นต่ำ

สูงกว่าฝาก
ออมทรัพย์  / คงที่

15%

ไม่มี

ทวีทรัพย์ / ปลอดภาษี

ฝากในจำนวนเท่าๆกันทุกเดือน รับดอกเบี้ยสูงกว่า และรับการยกเว้นภาษีดอกเบี้ย

จำนวนเงินที่เท่ากัน
ทุกเดือน ตามที่กำหนด

ตามกำหนด

24, 36 เดือน

ขั้นต่ำ

สูงกว่าฝาก
ออมทรัพย์  / คงที่

ไม่มี

ไม่มี

กระแสรายวัน

สะดวกปลอดภัยกับบัญชีที่สั่งจ่ายผ่านเช็ค

บ่อยเท่าที่ต้องการ

บ่อยเท่าที่ต้องการ

ไม่กำหนด

ขั้นต่ำ

ไม่มี

ไม่มี

มี

สลากออมสิน

ฝากเงินกับทางธนาคาร รับดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนด พร้อมมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลต่างๆ

ตามแต่ละช่วงที่ธนาคารเปิดขายสลาก

ตามกำหนด

3 ปี, 5 ปี, พิเศษอื่นๆ

3 ปี: 50 บาท/หน่วย
5 ปี: 100 บาท/หน่วย

คงที่
3 ปี: 2.75%

ไม่มี ยกเว้นได้รับรางวัลพิเศษ

ไม่มี


 


           เมื่อพูดถึงการออมเงินแล้ว ก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราต้องศึกษาหาทางเลือกในการออมเงินที่เหมาะสมกับความต้องการของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราดอกเบี้ยของเงินฝากแต่ละประเภท ซึ่งก็แตกต่างกันไปตามแต่ละธนาคาร หากเรามีความรู้ทางด้านการเงินที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว เราก็จะสามารถทำให้เงินออมของเราเพิ่มพูนขึ้นตามไปด้วย ถ้าให้ผู้เขียนแนะนำการฝากเงินในธนาคาร ผู้เขียนแนะนำว่าอย่างน้อยทุกคนควรจะมีการฝากเงินประเภทประจำแบบปลอดภาษีไว้สักหนึ่งบัญชี เพราะนอกจากจะได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีดอกเบี้ยแล้ว ยังเป็นการสร้างวินัยการออมเงิน และทำให้เรามีเงินเก็บเป็นก้อนในอนาคตได้อีกด้วย