“กองทุนรวม… อีกหนึ่งทางเลือกการออมเงิน”
เมื่อเรามีวินัยในการออมเงิน
เราก็จะเริ่มมีเงินเก็บ ทีนี้หล่ะ.. โอกาสที่จะบริหารเงินเก็บของเราให้งอกเงยก็มีเพิ่มมากขึ้น
แต่เชื่อว่า ครูหลายท่านยังคงเลือกที่จะเก็บเงินไว้ในบัญชีธนาคาร
ซึ่งดอกเบี้ยที่ได้รับนั้นค่อนข้างน้อย และมักจะน้อยกว่าเงินเฟ้อเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้น หากอยากทำให้เงินเก็บของเรางอกเงยเติบโต
เราควรมองหาทางเลือกการออมเงินแบบอื่นที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
วลีที่ว่า “ให้เงินทำงานแทนเรา”
ยังคงนำมาใช้ได้ เพราะการทำเงินเก็บให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นนี่แหละ
บางครั้งสำคัญมากกว่าการหารายได้มาใช้ในชีวิตประจำเสียอีก ความลับก็คือ “เคล็ดลับความรวยอยู่ที่วิธีการบริหารเงิน
ไม่ใช่การหาเงิน”
หากเรารู้ถึงพลังของดอกเบี้ยทบต้น ที่ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่ทบต้นไปเรื่อยๆ
จนทำให้เราได้เงินเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ และหากเรารู้ถึงความสำคัญของระยะเวลาในการออมเงินว่า
ออมก่อนรวยกว่า แล้วนั้น เราก็จะสามารถบริหารเงินออมของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
อีกหนึ่งวลีที่ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง”
ก็เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน ดังนั้น การลงทุนในอะไรก็ตาม
เราต้องมีความรู้ในเรื่องนั้นๆ พอสมควร หากเราไม่รู้
นั่นก็คือความเสี่ยงและมีโอกาสที่จะขาดทุนได้ เพราะฉะนั้น
การลงทุนผ่านกองทุนรวมจึงเป็นทางเลือกที่ดี เพราะอย่างน้อย
กองทุนรวมก็มีมืออาชีพที่เรียนด้านนี้มาติดตามข้อมูลข่าวสารทุกวัน
คอยดูแลเงินแทนเรา หน้าที่เราก็คือ ต้องเลือกกองทุนให้ถูกตัวถูกเวลา
เนื่องจากกองทุนรวมในประเทศไทยมีหลายร้อยตัวให้เลือก เราจึงต้องพิจารณาจาก “ต้องการความเสี่ยงระดับไหน
และผลตอบแทนแบบไหน?” แต่ถ้าแบบที่ต้องการคือ แบบไม่เสี่ยงและได้ผลตอบแทนเยอะๆ นั้น
ต้องบอกเลยว่า.. ไม่มี!
เพราะหลักการเรื่องความเสี่ยงก็คือ “อะไรที่ให้ผลตอบแทนสูงจะมีความเสี่ยงสูง
อะไรที่มีความเสี่ยงต่ำจะให้ผลตอบแทนต่ำ”
มาทำความรู้จักกองทุนรวมกัน*
กองทุนรวม คือ โครงการที่จัดตั้งขึ้น โดยการนำเงินของแต่ละคน
ซึ่งถือเป็นนักลงทุนรายย่อยทั้งหลาย มากองรวมกันให้เป็นก้อนใหญ่ โดยผู้ลงทุนจะได้หน่วยลงทุนเป็นหลักฐานการมีส่วนร่วมในกองเงินดังกล่าว
กองเงินนั้นๆ จะมีมืออาชีพทางด้านการลงทุน ทำหน้าที่ในการนำเงินไปลงทุน และเมื่อมีดอกผลจากการลงทุนก็จะนำมาเฉลี่ยกลับคืนให้กับผู้ที่ลงเงินไว้ในคราวแรก
ทั้งนี้ กองทุนแต่ละกองทุนที่ถูกจัดตั้งขึ้นจะมีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างกันไป
แต่นโยบายการลงทุนของกองทุนหนึ่ง จะถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เช่น กองทุนหุ้นปันผล
กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว เป็นต้น
ดอกผลที่เกิดจาการลงทุนผ่านกองทุนรวมนั้น จะมีอยู่ 2 แบบ คือ
หนึ่ง-เงินปันผล ซึ่งบางกองทุนจะมีนโยบายการจ่ายเงินปันผล บางกองก็อาจจะไม่มี
แต่จะเก็บส่วนกำไรไว้ในรูปของมูลค่ากองทุนที่เพิ่มขึ้น
สอง-ส่วนต่างของราคาหลักทรัพย์ หากกองทุนไม่ได้ปันผลออกมา แต่กำไรที่ได้จากการลงทุนก็จะถูกนำไปลงทุนเพิ่ม
ซึ่งรวมอยู่ในมูลค่าสุทธิของกองทุนนั่นเอง
ส่วนประเภทของกองทุนรวมนั้น
หากแบ่งตามลักษณะการจัดจำหน่ายและการรับซื้อคืน จะสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท
ได้แก่ กองทุนปิด และกองทุนเปิด โดยกองทุนปิด คือ กองทุนที่บริษัทจัดการจะไม่รับซื้อคืนหน่วยลงทุนจนกว่าจะครบกำหนดอายุกองทุนรวม
กองทุนประเภทนี้จะกำหนดจำนวนหน่วยลงทุนและอายุของกองทุนไว้แน่นอน
ซึ่งกองทุนปิดมักจะเป็นกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ส่วนกองทุนเปิด คือ
กองทุนที่บริษัทจัดการเปิดขายหน่วยลงทุนและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนจากผู้ลงทุนตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในโครงการ
เช่น เปิดทำการซื้อขายเดือนละครั้ง สัปดาห์ละครั้ง หรือทุกวันทำการ
โดยทั่วไปอายุของกองทุนจะยาวหรือไม่มีกำหนดโครงการ
แต่หากแบ่งกองทุนออกไปตามชนิดการลงทุน
จะสามารถแบ่งออกได้เยอะแยะมาก ตัวอย่างเช่น
· กองทุนรวมตราสารทุน – ลงทุนในหุ้นเป็นหลัก
·
กองทุนรวมตราสารหนี้
– เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชน หรือ เงินฝากต่างๆ และแบ่งย่อยออกเป็น
กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น และ กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะยาว
·
กองทุนรวมแบบผสม
– จะเป็นแบบผสมทั้งหุ้นและตราสารหนี้ เช่น ลงทุนในหุ้น 40% ในตราสารหนี้ 60% โดยจะสลับสัดส่วนที่เหมาะสมตามสภาพเศรษฐกิจ
·
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์
– กองทุนรวมที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เช่น ตึกขนาดใหญ่ เพื่อปล่อยเช่าทั้งตึก
แล้วนำค่าเช่ามาแบ่งปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุน หรือ ลงทุนในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่
โรงหนังขนาดใหญ่ โรงงานอุตสาหกรรมให้เช่า ฯลฯ
·
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ
(RMF) – กองทุนรวมที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้เป็นหลัก
และหุ้นบ้างเล็กน้อย โดยมีข้อดีคือ มูลค่าการลงทุนในแต่ละปี
สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 300,000 บาท (ไม่เกิน 15% ของรายได้) โดยเฉลี่ยจะได้ผลตอบแทนปีละ 3-5%
แต่มีข้อเสียคือ ต้องไปไถ่ถอนตอนอายุ 55 ปีขึ้นไป ซึ่งทำให้มีสภาพคล่องต่ำมาก
·
กองทุนรวมหุ้นระยะยาว
(LTF) – กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น
แต่ต่างจากกองทุนรวมหุ้นตรงที่วิธีซื้อขาย และมีสิทธิทางภาษีที่เหมือน RMF ตรงที่ มูลค่าหน่วยลงทุนที่ซื้อสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ และต้องถือครองเพียง
5 ปีปฏิทิน
· กองทุนรวมอื่นๆ – เช่น กองทุนรวมที่ลงทุนในทองคำ ฯลฯ
ประโยชน์จากการลงทุนกับกองทุนรวม
1.
มีมืออาชีพมาบริหารเงินให้
– การลงทุนในกองทุนรวม คือ การรวมเงินกัน แล้วนำไปจ้างมืออาชีพซึ่งก็คือ บลจ. (บริษัท
หลักทรัพย์จัดการกองทุน จำกัด) มาบริหารให้ ในบลจ.
จะมีผู้ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะในเรื่องที่จะลงทุน เช่น หุ้น ตราสารหนี้
อสังหาฯ หรือทองคำ โดยคนเหล่านี้อาจจะจบมาทางนี้
และมีการติดตามแนวโน้มการลงทุนต่างๆ อยู่ทุกวัน ซึ่งก็คงจะดีกว่าเราไปทำเอง
ทั้งไม่รู้ และไม่มีเวลาไปติดตามข้อมูลแบบนั้น
2.
มีการกระจายความเสี่ยง
– กองทุนมีเงินจำนวนมาก ซึ่งสามารถกระจายไปลงทุนในหลักทรัพย์หลายตัว
เพื่อลดความเสี่ยง
3.
มีสภาพคล่องดี –
สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวัน หรือได้ทุกครั้งที่เราต้องการเงินมาใช้
4.
มีทางเลือกมากมาย
– แต่ละธนาคารก็มักมีบลจ. เป็นบริษัทในเครือ ที่ขายกองทุนมากกว่า 30
ประเภทให้เราได้เลือกในแบบที่มีผลตอบแทน และความเสี่ยงที่เหมาะสมกับเราเอง
5.
มีสิทธิทางภาษี
ได้ลดหย่อนภาษี – นอกจากจะได้กำไรจาการลงทุนแล้ว ยังได้กำไรจากภาษีที่ได้ลดด้วย
นอกจากนี้ การลงทุนที่ได้ผลจะต้องสอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตของแต่ละบุคคลด้วย
ดังนั้น ควรสำรวจเป้าหมายชีวิตของตนเองให้ชัดเจนและจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของเป้าหมายนั้นๆ
แล้วจึงนำมาใช้เป็นโจทย์ในการวางแผนทางการเงินของตนเอง
สุดท้ายนี้ สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงอยู่เสมอก็คือ
ความรู้ เพราะความเสี่ยงที่สุดก็คือ ความไม่รู้และความไม่เข้าใจในสิ่งที่เราลงทุนจริงๆ
หรือมีประสบการณ์น้อย ทำให้มีความเสี่ยงมาก
ในขณะที่ผลตอบแทนที่จะได้อาจไม่ได้เพิ่มตาม ซึ่งส่งผลทำให้ได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้น หากคิดที่จะลงทุนแล้ว
ต้องหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมด้านการเงินการลงทุนอยู่เสมอ จะได้มีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจเลือกการลงทุนได้อย่างเหมาะสม
และสามารถทำให้เงินเก็บงอกเงยได้อย่างแท้จริง
https://bx.in.th
ReplyDeleteเป็นเรื่องการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่มีประโยชน์มาก ๆ เลย