ด้วยว่าผมได้มีโอกาสเข้าร่วมฟังการสัมมนาที่จัดโดย OKMD ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยคุณหมอประเสริฐ บุญเกิด มาให้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง Brain Based Learning หรือ BBL ก็เกิดความประทับใจ กอปรกับความชอบในหนังสือเรื่อง “สมองหายล้า ชีวิตก็หายเหนื่อย” เขียนโดยคุณหมออีชีฮยอง (Lee Si Hyung) แปลโดย คุณตรองสิริ ทองคำใส ก็มีอะไรหลายอย่างที่ตกตะกอนจนอยากเก็บมาเล่าให้ฟังในเป็นข้อสังเกตแบบง่าย ๆ เกี่ยวกับเรื่องของ BBL ดังต่อไปนี้
ข้อสังเกตที่ 1 BBL ไม่ใช่ทฤษฎีทางการศึกษา เออ... งงมั้ย? คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า BBL เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ในสายครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์ แต่จริง ๆ แล้วคุณหมอประเสริฐให้แนวคิดว่า BBL เป็นทฤษฎีทางการแพทย์ที่อธิบายถึงโครงสร้างและหน้าที่ในการทำงานของสมองมนุษย์เราตรง ๆ เลย พูดอีกนัยหนึ่งคือเป็นหลักการเรียนรู้ของสมองที่ข้อมูลผ่านมาทางประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การได้รส และ การสัมผัส เพื่อจัดเก็บ เรียบเรียง และ ดึงข้อมูลต่าง ๆ ออกมาใช้
นั่นคือ BBL เกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลาที่สมองเรามีปฏิสัมพันธ์ (Interact) กับโลกภายนอก ซึ่งเริ่มตั้งแต่ที่เราทุกคนเป็นทารกอยู่ในท้องเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นพ่อแม่และคุณครูไม่ต้องสงสัยหรือไปกำหนดเด็ก ๆ เลยว่าเขาควรเรียนตอนไหน เพราะเขาเรียนตลอดเวลา ดังนั้นการช่วยกันจัดกิจกรรมหรือสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ของเด็ก ๆ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากพอ ๆ กับการพยายามด้านวิชาการอย่างเดียว
ข้อสังเกตที่ 2 BBL คนเราเรียนรู้จาก “ของจริง” สู่ “สัญลักษณ์” เสมอ อันนี้ต่อจากข้อสังเกตแรกที่กล่าวมาแล้ว เพราะสมองคนเราจริง ๆ เรียนรู้ผ่านสัมผัสต่าง ๆ ที่มีอยู่ซึ่งจะทำหน้าที่แปลงข้อมูลต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์เฉพาะบุคคล ดังนั้นการรับรู้ (Perceiving) และการเรียนรู้ (Learning) ของแต่ละคนในเรื่องเดียวกันจะไม่เหมือนกันแน่นอน
ลองเล่นกันดูก็ได้ ขอให้คุณผู้อ่านนึกถึงคำว่า “การทำข้าวผัด” (ไปเปลี่ยนเป็นข้าวผัดเจกันเอาเองนะ) ว่าคุณผู้อ่านนึกถึงอะไร (ติ๊กต๊อก... ติ๊กต๊อก... ติ๊กต๊อก...)
.
.
.
สิ่งที่คุณผู้อ่านนึกถึงการทำข้าวผัดเป็นไปได้เยอะแยะเลย ไม่ว่าจะเป็นภาพเตาแก๊ส/เตาถ่าน/เตาไฟฟ้า ภาพกระทะ ภาพข้าวที่คลุกในกระทะ ภาพเครื่องปรุงที่เตรียมไว้ ภาพควัน เสียงซ่าของกระทะ เสียงตะหลิวขูด/เคาะกับกระทะ กลิ่นของน้ำมัน เครื่องที่ลงผัด เครื่องปรุงที่ใส่เข้าไป รสชาติกลมกล่อมและความร้อนของข้าวผัดตอนชิม ไอร้อนจากขอบกระทะลอยขึ้นมาโดนมือให้ร้อนเป็นระยะ หรือหลาย ๆ อย่างที่กล่าวมานี้ผสมผสานรวมกัน (นั่นล่ะข้าวผัด) ซึ่งนั่นเกิดจาก BBL ของเราที่แตกต่างกันไปตามธรรมชาติการเรียนรู้แต่ละคน
สิ่งสำคัญคือ การทำข้าวผัด แต่ละคนจะตื้นลึกหนาบางก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในเรื่องนี้ที่ต่างกัน ถ้าเป็นคนกินอย่างเดียวก็จะเห็นแบบหนึ่ง เป็นผู้ช่วยก็จะได้แบบหนึ่ง เป็นคนทำเองก็จะเรียนรู้อย่างหนึ่ง ดังนั้นวิธีที่ง่ายและเป็นธรรมชาติที่สุด คือ การให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้โดยให้โอกาสเขาได้ลองเล่นหรือทำกิจกรรมจากประสบการณ์จริงให้ได้มากที่สุดนั่นเอง ให้เขาได้ใช้ประสาทสัมผัสที่หลากหลาย สมองเขาค่อย ๆ เปลี่ยน “ของจริง” เป็น “สัญลักษณ์” ที่เป็นของเฉพาะบุคคลไปเองได้ในที่สุด แน่นอนว่าดีกว่าการเรียนแบบ Talk and Chalk ที่จะจำกัดแค่การมองและการฟังเท่านั้น
ข้อสังเกตที่ 3 BBL เกิดขึ้นได้ทุกวัยไม่ใช่แค่เด็ก ปัจจัยสำคัญของ BBL คือการวิจัยพบว่า “ศักยภาพของตนเอง” คือแรงจูงใจในการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมาก นั่นไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมคนบางคนถึงเดินทางรอบโลก พิชิตเขาสูง ๆ หรือทำอะไรที่คนปกติเห็นว่าไม่จำเป็นต้อง (หาเรื่อง) ทำเลย
เพราะการค้นหา (Explore) ยิ่งหา ยิ่งเพลิน ยิ่งมีพลัง และ การเรียนรู้ก็จะเกิดขึ้นไปเรื่อย ๆ นี่แหละคือที่มาของการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning) เพราะกิจกรรมที่มนุษย์ที่จะทำได้มีเป็นหลักล้านเลย ใครรักการออกกำลังกาย ถ่ายภาพ เรียนภาษา เล่นดนตรี ท่องเที่ยว เขียน พูด ทำงานศิลปะ ไปลองไปหัดกันดูถ้ามีโอกาส
อ่านถึงตรงนี้คุณผู้อ่านที่อยู่วัยเกษียณสบายแล้ว เพราะการที่เราได้ใช้สมองบ่อย ๆ ด้วยการค้นหาอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ จะทำให้สมองเรายังคงพัฒนาต่อเพื่อสู้กับความเสื่อมทางกายภาพที่มาตามธรรมชาติ เรียกว่าเป็นยาชะลอความเสื่อมของสมองได้เป็นอย่างดี ก็ขอให้โอกาสตัวเองและคนใกล้ตัวดูนะ ลองจากเรื่องเล็ก ๆ ใกล้ ๆ ตัว ยิ่งรู้ว่าตัวเองทำได้ก็จะเพลินกับการใช้ชีวิต อย่าหยุดเด็ดขาด
ข้อสังเกตที่ 4 อาหารสมอง อาหารสมองแบ่งได้หลายอย่าง ถ้าเป็นอาหารทางกายภาพ คุณหมออีชีฮยองบอกว่าสมองต้องการแค่น้ำตาลกลูโคส (Glucose) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น (เออ แล้วซุปไก่ผมไปไหน?) ในขณะที่บางแง่ อาหารสมอง คือ เนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ อย่างเช่น คอลัมน์ “อาหารสมอง” ของอาจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ แบบนั้นก็ถือว่าเป็นอาหารสมองในอีกมิติหนึ่ง
แต่อาหารสมองที่มีคุณค่าและคนมักจะมองข้ามไปคือ “อาหารใจ” อันนี้คุณหมอประเสริฐและคุณหมออีชีฮยองกล่าวตรงกันเป๊ะ อาหารใจที่เป็นแรงผลัดดันให้เกิดการเรียนรู้และเดินไปข้างได้เสมอคือ “ความสำเร็จ” ไม่เชื่อลองสังเกตเด็กเล็ก ๆ ดูสิ (ผู้ใหญ่ยังเป็นเลย) ว่าทำไมเขาจะชอบทำอะไรในเรื่องเดิม ๆ เพราะเขาเก่งในเรื่องนั้นหรือกติกาของเกมนั้น ชัยชนะคือความสำเร็จที่ลึก ๆ แล้วทุกคนปรารถนา อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ต้องสร้างสมดุลกับการค้นหาด้วยนะ อย่าเอาแต่เพลินกับการเป็นปลาใหญ่ในบ่อเล็ก ต้องออกไปลุยกับโจทย์ใหม่ ๆ ดูบ้าง
ข้อสังเกตสุดท้าย สมองมีหนักมีเบา ผมไม่ได้หมายถึงน้ำหนักนะ เรื่องนี้คุณหมอประเสริฐและคุณหมออีชีฮยองก็กล่าวเหมือนกันอีกว่าสมองคนเราจะเรียนรู้ได้ดี หรือ มีความคิดดี ๆ ในเวลาที่สมองปลอดโปร่ง (สมองเบา) หรือ เรียนรู้โดยไม่รู้สึกว่าตัวเองเรียนรู้ ทำแล้วเพลิน (Flow) ทำแล้วสนุก อยากทำเรื่อย ๆ อันนี้คือจุดที่จะทำให้คนคนนั้นสามารถเรียนรู้และดำดิ่งกับการเรียนรู้นั้นจนถึงระดับผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ซึ่งมีบางคนเท่านั้นที่จะหากิจกรรม/เรื่อง/สภาพแวดล้อมที่เหมาะได้เจอ
คนที่สมองหนักคือคนที่เครียด ก็เสียไปหมดทั้งสุขภาพกายสุขภาพใจ ต้องออกไปหาอะไรแรง ๆ ทำ เช่น เว้นรถ ฯลฯ หนัก ๆ เข้าก็ทำร้ายตัวเองหรือสังคมไม่ทางตรงก็ทางอ้อมในที่สุด ซึ่งเราต้องใช้ปัญญาในการค้นหาว่าอะไรที่ใช้และเหมาะกับตัวเรา (นั่น ได้ค้นหาอีกแล้ว)
เป็นอย่างไรกันบ้างกับเรื่อง Brain Based Learning สรุปมาให้อ่านกันพอหอมปากหอมคอในแบบกว้าง ๆ เพื่อให้คุณผู้อ่านเลือกไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ทั้งการดูแลเด็ก ๆ การพัฒนาตนเอง จนถึงการหากิจกรรมดี ๆ ที่เหมาะกับคนสูงอายุให้กับผู้ใหญ่ที่บ้านได้เรียนรู้กันต่อไป
สำหรับ Ministry of Learning ฉบับนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้มีความสุขกับการเรียนรู้ และ สร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้คนรอบ ๆ ตัว แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้า สวัสดี
เขียนโดย
คุณโชดก ปัญญาวรานันท์
Business Process Manager
สถาบันคีนันแห่งเอเซีย
No comments:
Post a Comment