Tuesday, December 15, 2015

เรื่องธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ของ Brain Based Learning

ด้วยว่าผมได้มีโอกาสเข้าร่วมฟังการสัมมนาที่จัดโดย OKMD ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยคุณหมอประเสริฐ บุญเกิด มาให้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่อง Brain Based Learning หรือ BBL ก็เกิดความประทับใจ กอปรกับความชอบในหนังสือเรื่อง “สมองหายล้า ชีวิตก็หายเหนื่อย” เขียนโดยคุณหมออีชีฮยอง (Lee Si Hyung) แปลโดย คุณตรองสิริ ทองคำใส ก็มีอะไรหลายอย่างที่ตกตะกอนจนอยากเก็บมาเล่าให้ฟังในเป็นข้อสังเกตแบบง่าย ๆ เกี่ยวกับเรื่องของ BBL ดังต่อไปนี้

ข้อสังเกตที่ 1 BBL ไม่ใช่ทฤษฎีทางการศึกษา เออ... งงมั้ย? คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า BBL เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ในสายครุศาสตร์หรือศึกษาศาสตร์ แต่จริง ๆ แล้วคุณหมอประเสริฐให้แนวคิดว่า BBL เป็นทฤษฎีทางการแพทย์ที่อธิบายถึงโครงสร้างและหน้าที่ในการทำงานของสมองมนุษย์เราตรง ๆ เลย พูดอีกนัยหนึ่งคือเป็นหลักการเรียนรู้ของสมองที่ข้อมูลผ่านมาทางประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้แก่ การมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การได้รส และ การสัมผัส เพื่อจัดเก็บ เรียบเรียง และ ดึงข้อมูลต่าง ๆ ออกมาใช้
นั่นคือ BBL เกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลาที่สมองเรามีปฏิสัมพันธ์ (Interact) กับโลกภายนอก ซึ่งเริ่มตั้งแต่ที่เราทุกคนเป็นทารกอยู่ในท้องเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นพ่อแม่และคุณครูไม่ต้องสงสัยหรือไปกำหนดเด็ก ๆ เลยว่าเขาควรเรียนตอนไหน เพราะเขาเรียนตลอดเวลา ดังนั้นการช่วยกันจัดกิจกรรมหรือสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เด็กเกิดการเรียนรู้ของเด็ก ๆ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากพอ ๆ กับการพยายามด้านวิชาการอย่างเดียว

ข้อสังเกตที่ 2 BBL คนเราเรียนรู้จาก “ของจริง” สู่ “สัญลักษณ์” เสมอ อันนี้ต่อจากข้อสังเกตแรกที่กล่าวมาแล้ว เพราะสมองคนเราจริง ๆ เรียนรู้ผ่านสัมผัสต่าง ๆ ที่มีอยู่ซึ่งจะทำหน้าที่แปลงข้อมูลต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์เฉพาะบุคคล ดังนั้นการรับรู้ (Perceiving) และการเรียนรู้ (Learning) ของแต่ละคนในเรื่องเดียวกันจะไม่เหมือนกันแน่นอน
ลองเล่นกันดูก็ได้ ขอให้คุณผู้อ่านนึกถึงคำว่า “การทำข้าวผัด” (ไปเปลี่ยนเป็นข้าวผัดเจกันเอาเองนะ) ว่าคุณผู้อ่านนึกถึงอะไร (ติ๊กต๊อก... ติ๊กต๊อก... ติ๊กต๊อก...)
.
.
.
สิ่งที่คุณผู้อ่านนึกถึงการทำข้าวผัดเป็นไปได้เยอะแยะเลย ไม่ว่าจะเป็นภาพเตาแก๊ส/เตาถ่าน/เตาไฟฟ้า ภาพกระทะ ภาพข้าวที่คลุกในกระทะ ภาพเครื่องปรุงที่เตรียมไว้ ภาพควัน เสียงซ่าของกระทะ เสียงตะหลิวขูด/เคาะกับกระทะ กลิ่นของน้ำมัน เครื่องที่ลงผัด เครื่องปรุงที่ใส่เข้าไป รสชาติกลมกล่อมและความร้อนของข้าวผัดตอนชิม ไอร้อนจากขอบกระทะลอยขึ้นมาโดนมือให้ร้อนเป็นระยะ หรือหลาย ๆ อย่างที่กล่าวมานี้ผสมผสานรวมกัน (นั่นล่ะข้าวผัด) ซึ่งนั่นเกิดจาก BBL ของเราที่แตกต่างกันไปตามธรรมชาติการเรียนรู้แต่ละคน
สิ่งสำคัญคือ การทำข้าวผัด แต่ละคนจะตื้นลึกหนาบางก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในเรื่องนี้ที่ต่างกัน ถ้าเป็นคนกินอย่างเดียวก็จะเห็นแบบหนึ่ง เป็นผู้ช่วยก็จะได้แบบหนึ่ง เป็นคนทำเองก็จะเรียนรู้อย่างหนึ่ง ดังนั้นวิธีที่ง่ายและเป็นธรรมชาติที่สุด คือ การให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้โดยให้โอกาสเขาได้ลองเล่นหรือทำกิจกรรมจากประสบการณ์จริงให้ได้มากที่สุดนั่นเอง ให้เขาได้ใช้ประสาทสัมผัสที่หลากหลาย สมองเขาค่อย ๆ เปลี่ยน “ของจริง” เป็น “สัญลักษณ์” ที่เป็นของเฉพาะบุคคลไปเองได้ในที่สุด แน่นอนว่าดีกว่าการเรียนแบบ Talk and Chalk ที่จะจำกัดแค่การมองและการฟังเท่านั้น

ข้อสังเกตที่ 3 BBL เกิดขึ้นได้ทุกวัยไม่ใช่แค่เด็ก ปัจจัยสำคัญของ BBL คือการวิจัยพบว่า “ศักยภาพของตนเอง” คือแรงจูงใจในการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมาก นั่นไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมคนบางคนถึงเดินทางรอบโลก พิชิตเขาสูง ๆ หรือทำอะไรที่คนปกติเห็นว่าไม่จำเป็นต้อง (หาเรื่อง) ทำเลย
เพราะการค้นหา (Explore) ยิ่งหา ยิ่งเพลิน ยิ่งมีพลัง และ การเรียนรู้ก็จะเกิดขึ้นไปเรื่อย ๆ นี่แหละคือที่มาของการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Life Long Learning) เพราะกิจกรรมที่มนุษย์ที่จะทำได้มีเป็นหลักล้านเลย ใครรักการออกกำลังกาย ถ่ายภาพ เรียนภาษา เล่นดนตรี ท่องเที่ยว เขียน พูด ทำงานศิลปะ ไปลองไปหัดกันดูถ้ามีโอกาส
อ่านถึงตรงนี้คุณผู้อ่านที่อยู่วัยเกษียณสบายแล้ว เพราะการที่เราได้ใช้สมองบ่อย ๆ ด้วยการค้นหาอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ จะทำให้สมองเรายังคงพัฒนาต่อเพื่อสู้กับความเสื่อมทางกายภาพที่มาตามธรรมชาติ เรียกว่าเป็นยาชะลอความเสื่อมของสมองได้เป็นอย่างดี ก็ขอให้โอกาสตัวเองและคนใกล้ตัวดูนะ ลองจากเรื่องเล็ก ๆ ใกล้ ๆ ตัว ยิ่งรู้ว่าตัวเองทำได้ก็จะเพลินกับการใช้ชีวิต อย่าหยุดเด็ดขาด

ข้อสังเกตที่ 4 อาหารสมอง อาหารสมองแบ่งได้หลายอย่าง ถ้าเป็นอาหารทางกายภาพ คุณหมออีชีฮยองบอกว่าสมองต้องการแค่น้ำตาลกลูโคส (Glucose) เพียงอย่างเดียวเท่านั้น (เออ แล้วซุปไก่ผมไปไหน?) ในขณะที่บางแง่ อาหารสมอง คือ เนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ อย่างเช่น คอลัมน์ “อาหารสมอง” ของอาจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ แบบนั้นก็ถือว่าเป็นอาหารสมองในอีกมิติหนึ่ง
แต่อาหารสมองที่มีคุณค่าและคนมักจะมองข้ามไปคือ “อาหารใจ” อันนี้คุณหมอประเสริฐและคุณหมออีชีฮยองกล่าวตรงกันเป๊ะ อาหารใจที่เป็นแรงผลัดดันให้เกิดการเรียนรู้และเดินไปข้างได้เสมอคือ “ความสำเร็จ” ไม่เชื่อลองสังเกตเด็กเล็ก ๆ ดูสิ (ผู้ใหญ่ยังเป็นเลย) ว่าทำไมเขาจะชอบทำอะไรในเรื่องเดิม ๆ เพราะเขาเก่งในเรื่องนั้นหรือกติกาของเกมนั้น ชัยชนะคือความสำเร็จที่ลึก ๆ แล้วทุกคนปรารถนา อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ต้องสร้างสมดุลกับการค้นหาด้วยนะ อย่าเอาแต่เพลินกับการเป็นปลาใหญ่ในบ่อเล็ก ต้องออกไปลุยกับโจทย์ใหม่ ๆ ดูบ้าง

ข้อสังเกตสุดท้าย สมองมีหนักมีเบา ผมไม่ได้หมายถึงน้ำหนักนะ เรื่องนี้คุณหมอประเสริฐและคุณหมออีชีฮยองก็กล่าวเหมือนกันอีกว่าสมองคนเราจะเรียนรู้ได้ดี หรือ มีความคิดดี ๆ ในเวลาที่สมองปลอดโปร่ง (สมองเบา) หรือ เรียนรู้โดยไม่รู้สึกว่าตัวเองเรียนรู้ ทำแล้วเพลิน (Flow) ทำแล้วสนุก อยากทำเรื่อย ๆ อันนี้คือจุดที่จะทำให้คนคนนั้นสามารถเรียนรู้และดำดิ่งกับการเรียนรู้นั้นจนถึงระดับผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ซึ่งมีบางคนเท่านั้นที่จะหากิจกรรม/เรื่อง/สภาพแวดล้อมที่เหมาะได้เจอ
คนที่สมองหนักคือคนที่เครียด ก็เสียไปหมดทั้งสุขภาพกายสุขภาพใจ ต้องออกไปหาอะไรแรง ๆ ทำ เช่น เว้นรถ ฯลฯ หนัก ๆ เข้าก็ทำร้ายตัวเองหรือสังคมไม่ทางตรงก็ทางอ้อมในที่สุด ซึ่งเราต้องใช้ปัญญาในการค้นหาว่าอะไรที่ใช้และเหมาะกับตัวเรา (นั่น ได้ค้นหาอีกแล้ว)
เป็นอย่างไรกันบ้างกับเรื่อง Brain Based Learning สรุปมาให้อ่านกันพอหอมปากหอมคอในแบบกว้าง ๆ เพื่อให้คุณผู้อ่านเลือกไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ทั้งการดูแลเด็ก ๆ การพัฒนาตนเอง จนถึงการหากิจกรรมดี ๆ ที่เหมาะกับคนสูงอายุให้กับผู้ใหญ่ที่บ้านได้เรียนรู้กันต่อไป

สำหรับ Ministry of Learning ฉบับนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้มีความสุขกับการเรียนรู้ และ สร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้คนรอบ ๆ ตัว แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้า สวัสดี

เขียนโดย 
คุณโชดก ปัญญาวรานันท์ 
Business Process Manager 

สถาบันคีนันแห่งเอเซีย

ศาสตร์แห่งการโน้มน้าวใจคน

สวัสดีคุณผู้อ่านทุกท่าน หวังว่าช่วงปลายปีแบบนี้คงจะได้ผ่อนคลายจากงานหนัก ๆ ที่ลุยทำมาทั้งปีลงบ้างนะ ด้วยว่ามีวันหยุดยาวมาให้เรา Shop package ท่องเที่ยวสำหรับวันพักผ่อนปลายปีหลายช่วงอยู่ หลายคนคงได้มีโอกาสเติมพลังให้พร้อมรับการทำงานในปีหน้าฟ้าใหม่ที่กำลังจะมาถึง

ด้วยว่าช่วงที่ผ่านมาผมกำลังทำโครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชนผ่านการเสริมสร้างทักษะด้านการขาย เลยได้มีโอกาสศึกษาเนื้อหาใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขายในหลาย ๆ มุมมอง ว่าแล้ว Ministry of Learning ฉบับนี้เลยจะมาชวนคุณผู้อ่านคุยกันถึงหลักในการโน้มน้าวใจคนที่ได้สังเคราะห์มาจากงานวิจัยที่น่าจะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านทั้งกับการทำธุรกิจหรือความก้าวหน้าในการทำงานกันบ้าง

ต้นเรื่องที่จะหยิบมาเล่าเป็น Clip VDO บน YouTube ที่มีชื่อว่า “Science of Persuasion” แปลตรง ๆ ตัวเลยคือ “ศาสตร์ในการโน้มน้าวใจคน” เจ้าของเนื้อหาคือ Robert Cialdini และ Steve Martin ที่เรียบเรียงข้อค้นพบจากงานวิจัยในช่วงเวลา 60 ปี ที่ผ่านมาสรุปเป็นหลักการง่าย ๆ 6 ข้อ ดังต่อไปนี้

หลักการที่ 1 น้ำใจ หลักการนี้ในทางจิตวิทยาแล้วพบว่าคนเราอยากตอบแทนในความดีหรือน้ำใจของคนอื่นด้วยกันทั้งนั้น เรียกว่าใครทำดีกับเราเราก็อยากให้อะไรเป็นการตอบแทน
จากการศึกษาข้อมูลของพนักงานเสริฟในร้านอาหารพบว่า การที่พนักงานเสริฟลูกอม (มินท์) ให้กับลูกค้า 1 เม็ดหลังอาหารโอกาสที่จะทิปจะเพิ่มขึ้น 3% และถ้าเพิ่มลูกอมให้เป็น 2 เม็ด โอกาสได้ทิปจะเพิ่มขึ้นเป็น 14% ยังไม่หมด หากพนักงานหาจังหวะดี ๆ ในการเสริฟลูกอมเพิ่ม ทายดูสิว่าโอกาสจะได้ทิปจะเพิ่มเป็นเท่าไหร่... ไม่น่าเชื่อว่าจะเพิ่มถึง 23% เลยทีเดียว
อย่างไรก็ดีหลักการนี้ใช่จะใช้พร่ำเพรื่อ ความสำคัญของการแสดงน้ำใจอยู่ที่ “ให้อย่างไร” มากกว่า “ให้อะไร” โดยสิ่งที่ให้จะต้องแสดงถึงความใส่ใจว่าได้คิดและเลือกสรรมาแล้วว่าจะตรงกับความต้องการของลูกค้า (Personalized) และต้องเป็นอะไรที่ลูกค้าไม่ได้คาดหวังอะไรมาก่อน (Unexpected) จะช่วยให้การโน้มน้าวที่มีพลังขึ้นไปอีกมากทีเดียว ลองไปปรับใช้ดู

หลักการที่ 2 ความกลัว แน่นอนว่าทุกคนมีความอยากได้มากกว่าอยากเสีย กรณีตัวอย่างที่ชัดเจนคือการยกเลิกเที่ยวบินความเร็วสูงระหว่าง New York กับ London ในปี ค.ศ. 2003 ด้วยเหตุผลว่าไม่คุ้มต้นทุนที่สูง เพราะเจ้าเครื่องบิน Concorde ซดน้ำมันดุเดือดกว่าเครื่องบินปกติมาก ลามไปถึงว่าความกังวลว่าจะใช้ทรัพยกรมากเกินจำเป็น
โดยหลักการนี้แสดงให้เห็นว่าคนเราอยากได้อะไรที่มากกว่าสิ่งที่ต้องจ่าย ดังนั้นหลักการจะดึงดูดใจให้สำเร็จนอกจากจะต้องบอกประโยชน์ (Benefit) ว่าลูกค้าจะได้อะไร แต่เรายังต้องบอกความแตกต่าง (Uniqueness) ของสินค้าหรือบริการของเรา รวมถึงสิ่งที่ลูกค้าจะต้องเสีย (Lose) ถ้าพลาดที่จะตัดสินใจเลือกใช้ในสินค้าหรือบริการของเรา
หลักการนี้เราจะเห็นได้บ่อย ๆ ในการขายสินค้าบางอย่าง เช่น ประกันชีวิต หรือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการดูแลสุขภาพ ฯลฯ ที่สร้างความกังวลใจเล็ก ๆ บางอย่างให้กับเราหากเราพลาดอะไรดี ๆ แบบที่กำลังได้รับข้อเสนอนี้นั่นเอง

หลักการที่ 3 ความน่าเชื่อถือ แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จะสบายใจกว่าถ้าต้องจ่ายเงินให้กับพนักงาน คนขาย หรือ เจ้าหน้าที่ที่อยู่ใน “เครื่องแบบ” มากกว่าเจ้าหน้าที่คนเดียวกันแต่อยู่ใน “ชุดลำลอง” แม้ว่าจะมีได้ใบเสร็จรับเงินเหมือนกันทุกอย่าง อะไรที่ทำให้เป็นเช่นนั้น
แม้ว่าจะเป็นเรื่องง่าย ๆ อย่าง Trainer ใน Fitness Center หากมีประกาศนียบัตรรับรองว่าเป็น Certified Trainer แล้วแน่นอนว่าโอกาสที่จะได้ลูกค้าก็เหนือกว่า Trainer ที่อื่นไปหลายขุมทีเดียว
จากการศึกษาพบว่าการที่องค์กรมีบุคลากรที่น่าเชื่อถือ มีความสามารถ หรือ ประสบการณ์ที่ผ่านการรับรองแล้วจะเพิ่มโอกาสในนัดเพื่อเข้าพบลูกค้าเป้าหมายสูงขึ้นถึง 20% เลย และ ช่วยให้สามารถปิดการขาย/เซ็นสัญญาสูงขึ้นถึง 15% เพราะความน่าเชื่อถือโน้มน้าวให้เกิดการตัดสินใจของลูกค้าที่เป็นบวกกับธุรกิจของเราได้ง่ายกว่า ดังนั้นการรักษาชื่อเสียงและภาพลักษณ์ในการทำงานที่ดีจึงเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

หลักการที่ 4 ความเสมอต้นเสมอปลาย คนเราชอบความเสมอต้นเสมอปลาย อันความเสมอต้นเสมอปลายเกิดจากความสามารถในการทำตามสัญญานั่นเอง โดยความเสมอต้นเสมอปลายดังกล่าวต้องมาจากการสร้างกระแสสังคมด้วยพลังของจิตอาสาร่วมกัน
มีกรณีศึกษาเรื่องการส่งเสริมการขับขี่ปลอดภัยของ 2 พื้นที่ โดยชุมชนแรกใช้การติดป้ายประกาศ “ขับขี่ปลอดภัย” โท่ง ๆ ลอย ๆ ไว้ แน่นอนไมได้ผลเพราะคนไม่ได้มีความสนใจกับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ในขณะชุมชนในพื้นที่ใกล้ ๆ กันได้ทำการแจกบัตรขับขี่ปลอดภัยไปตามบ้านก่อนล่วงหน้า เพื่อให้ชาวบ้านได้เห็นข้อมูล และ “เลือก” ที่จะติดป้ายหน้าบ้านตัวเองว่าให้สนับสนุนแนวคิดการขับขี่ปลอดภัยในชุมชน ผลคือจำนวนการรณรงค์เรื่องการขับขี่ปลอดภัยประสบความสำเร็จ
ในเรื่องเดียวกันนี้ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมอีก ในโรงพยาบาลต่าง ๆ มักจะประสบปัญหาว่าคนไข้ผิดนัด ทำให้การบริหารจัดการคิวรวมถึงการรับคนไข้นอกของโรงพยาบาลขาดประสิทธิภาพ ฝ่ายบริหารของโรงพยาบาลจึงได้ออกกลยุทธ์ที่ได้ผล นั่นคือโรงเรียนบาลจะให้คนไข้เป็นคนเขียน “บัตรนัดคุณหมอ” ด้วยตัวเอง ผลคือช่วยลดการผิดนัดได้ถึง 18% เลยทีเดียว
หลักการที่ 5 ความชอบ คนส่วนใหญ่จะเชื่อคนที่เขาชอบจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ แน่นอนถ้าลูกค้าถูกใจกับเราก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะโน้มเอียงการตัดสินใจมาทางเราได้มากกว่า
ลองมาดูงานศึกษาที่สนุก ๆ สำหรับการทำให้คนชอบกันมากกว่า เขาว่าคนประเภทที่เงินคือเวลา ติดต่ออะไรต้องเป๊ะ ๆ เป็นเงินเป็นทอง คนกลุ่มนี้มี Success Rate ในการปิดการขายอยู่ที่ประมาณ 55% ในขณะที่กลุ่มที่โอภาปราศรัย คุยกันเหมือนเป็นเพื่อนจะมี Success Rate การปิดการขายจะกระโดดไปเป็น 90% เลยทีเดียว
ดังนั้นเคล็ดลับสำคัญของหลักการนี้คือการให้ความจริงใจกับลูกค้า เพื่อสร้างความชอบและความไว้วางใจก่อนเข้าเรื่องงาน จะช่วยให้เกิดการโน้มน้าวที่มีประสิทธิภาพที่ดีกว่ามาก

หลักการที่ 6 ความ (อยาก) เหมือนคนอื่น หลักการนี้มาจากหลักจิตวิทยาที่ว่า คนเรามักจะตัดสินใจตามคนอื่น ยกตัวอย่างการศึกษาพฤติกรรมแขกที่มาพักในโรงแรม ด้วยว่าโรงแรมส่วนใหญ่จะขอการมีส่วนร่วมกับลูกค้าในการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยการแขวนป้ายเชิญชวนให้แขกที่เข้าพักใช้ผ้าขนหนูซ้ำเพื่อลดการพลังงานและสารเคมี ผลที่ได้คือแขกที่เข้าพักในคืนแรกประมาณ 35% จะปฏิบัติตาม แต่จากข้อมูลที่เก็บไประยะหนึ่งก็พบว่า แขกที่เข้าพักนานกว่า 4 คืนขึ้นไปจะมีอัตราการใช้ผ้าขนหนูซ้ำสูงถึง 75% ทางโรงแรมจึงได้ทำป้ายรณรงค์แบบใหม่ โดยการเพิ่มข้อความว่า “ร้อยละ 75 ของแขกที่เคยพักห้องนี้เลือกที่จะร่วมรักษาสิ่งแวดล้อมกับเรา” เท่านั้นแหละแขกที่เข้าพักวันแรกมีอัตราการปฏิบัติตามเพิ่มขึ้นเป็น 60% เลยทีเดียว
ดังนั้นการบอกว่าคนอีกจำนวนเท่าไหร่ “ตัดสินใจ” ทำสิ่งนี้แล้วมีพลังมากในการจูงใจให้คนเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะคนเราอยากเหมือนกันนั่นเอง
เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับหลักการสนุก ๆ ที่ได้จากการเก็บข้อมูลอย่างมีสถิติรองรับ หลายอย่างง่ายและใกล้ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ หวังว่าคุณผู้อ่านน่าจะได้ประโยชน์จากการเอาหลักการง่าย ๆ เหล่านี้ไปทดลองใช้ได้ในชีวิตประวันไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือเรื่องส่วนตัวก็น่าจะช่วยให้อะไร ๆ สนุกขึ้นเยอะ

สำหรับ Ministry of Learning ฉบับนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอให้มีความสุขในการโน้มน้าวคนอื่น ๆ เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับสังคม แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้า สวัสดี

เขียนโดย 
คุณโชดก ปัญญาวรานันท์ 
Business Process Manager 

สถาบันคีนันแห่งเอเซีย