Thursday, November 20, 2014

แก้ไขปัญหาหนี้สินแรงงาน เพื่อสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน

           แรงงานถือเป็นประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จากตัวเลขสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (ณ กรกฎาคม 2557) พบว่า ประชากรไทยกว่า 38.49 ล้านคนอยู่ในกลุ่มกำลังแรงงานและเป็นผู้มีงานทำ โดยมีแรงงานจำนวนกว่า 25.28 ล้านคนอยู่นอกภาคเกษตรกรรม ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคการผลิตและบริการ โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ ภาคอุตสาหกรรมการผลิตกว่า 6.49 ล้านคน อุตสาหกรรมการขายส่งและขายปลีก การซ่อมยานยนต์และรถจักรยานยนต์กว่า 6.19 ล้านคน และอุตสาหกรรมที่พักแรมและบริการด้านอาหาร 2.55 ล้านคน

การพัฒนาศักยภาพการทำงานของแรงงานจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สถานประกอบการมักให้ความสนใจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต หากแต่ยังขาดการพัฒนาองค์ความรู้เรื่องการบริหารการเงินส่วนบุคคลซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นเช่นกัน เนื่องจากเป็นตัวบ่งชี้ถึงระดับคุณภาพชีวิตของแรงงาน นอกจากนี้ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าแรงงานเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ประสบปัญหาเรื่องหนี้สินค่อนข้างมาก โดยจากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่า ระดับหนี้สินครัวเรือนของประเทศไทยก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ในไตรมาสแรกของปี 2557 ระดับหนี้ครัวเรือนไทยเพิ่มขึ้นจากเกือบ 9 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2556 มาเป็น 9.9 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ จากผลสำรวจสถานภาพแรงงานไทยปี 2557 โดยหอการค้าโพลล์ พบว่า แรงงานไทยมีหนี้ต่อครัวเรือนเฉลี่ยที่ 106,216 บาท ซึ่งพุ่งสูงสุดในรอบ 6 ปี โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้ในการใช้จ่ายทั่วไปมากที่สุดในสัดส่วน 46.6% และแรงงานกว่า 93.7% มีพฤติกรรมการใช้เงินเกินตัว

กอปรกับผลการสำรวจของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเรื่องโครงการการให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชนปี 2556 พบว่า ประชาชนกลุ่มอาชีพอิสระรายได้ต่ำและกลุ่มเอกชนมีนายจ้างนั้น เป็นกลุ่มที่มีความรู้ทางการเงินต่ำกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ซึ่งสอดคล้องกับผลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ของสถาบันคีนันแห่งเอเซีย (คีนัน) โดยพบว่า แรงงานเอกชนมีนายจ้างและแรงงานอิสระรายได้ต่ำมีระดับความรู้ความเข้าใจเรื่องการบริหารการเงินที่ค่อนข้างต่ำ มีจำนวนชั่วโมงการทำงานค่อนข้างสูง ส่งผลให้ขาดโอกาสในการอบรมเพื่อเพิ่มเติมทักษะความรู้ ยิ่งไปกว่านั้น กลุ่มแรงงานเอกชนมีนายจ้าง (แบบมีประกันสังคม) จะมีโอกาสในการก่อหนี้ทั้งในระบบสถาบันการเงินและนอกระบบสถาบันการเงินที่ค่อนข้างมาก จึงทำให้มีโอกาสในการเป็นหนี้บุคคลและหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มมากขึ้น


ด้วยเหตุนี้ คีนัน ร่วมกับมูลนิธิซิตี้ จึงได้จัดเวทีเสวนาระดมสมองเรื่อง การพัฒนาความรู้เรื่องการเงินเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานไทย ภายใต้โครงการ คนไทยก้าวไกล ใส่ใจการเงินโดยมีผู้แทนเครือข่ายแรงงานจากทั่วประเทศ ทั้งแรงงานภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ และกลุ่มแรงงานรับจ้างอิสระ (รายได้น้อย) รวมทั้ง ผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันหาทางออกที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้สินแรงงาน และพัฒนาองค์ความรู้ด้านการบริหารการเงินส่วนบุคคล รวมทั้งเสนอแนะช่องทางและวิธีการเพื่อเข้าถึงกลุ่มแรงงานไทย


สาเหตุหลักที่ทำให้แรงงานมีปัญหาเรื่องภาวะหนี้สิน คือ แรงงานไม่มีความรู้และไม่ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงิน รวมทั้ง ไม่มีเวลาและไม่มีความสนใจในการหาความรู้เพิ่มเติม อีกทั้ง แรงงานกำลังเผชิญกับปัญหาภาพลวงตาของระบบค่าแรง ที่รายได้ของแรงงานส่วนใหญ่ถูกลวงด้วยเงินค่าล่วงเวลาหรือเงินโอที ซึ่งทำให้แรงงานไม่เพียงต้องทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวันหรือทำงานในวันหยุด แต่ยังทำให้แรงงานเข้าใจผิดคิดว่า เงินค่าล่วงเวลา คือ รายได้หลักที่คงที่ของตนเอง แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว สถานประกอบการเริ่มมีการปรับลดชั่วโมงการทำงานล่วงเวลาของแรงงานลง จึงเกิดปัญหาระดับรายได้รวมไม่เพียงพอต่อรายจ่าย จนทำให้เกิดลักษณะงูกินหาง คือ กู้เงินจากแหล่งหนึ่งเพื่อชำระหนี้อีกแห่งหนึ่ง นอกจากนี้ เรายังพบว่า แรงงานแม้จะมีการออมเงินกับสหกรณ์หลายแห่ง แต่หลายรายทำเพียงเพื่อให้ตนเองมีสิทธิในการกู้ยืมเงินเท่านั้น หรือ การออมเพื่อกู้


ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญที่มีอยู่ในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับแรงงานรับจ้างอิสระรายได้น้อย ซึ่งแม้จะมีความขยันและตั้งใจทำงาน แต่ระดับรายได้ของแรงงานกลุ่มนี้อย่างไรก็ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย โดยเฉพาะประเภทรายจ่ายที่คาดไม่ถึง ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุสุดวิสัย แรงงานกลุ่มนี้มักต้องหันไปพึ่งเงินกู้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูง ซึ่งทำให้กลายเป็นเหยื่อจากปัญหาการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน และตกอยู่ในวังวนของความยากจนแบบไม่สิ้นสุด

ในการแก้ไขปัญหาหนี้สินของแรงงานและเพื่อให้เกิดการกินดีอยู่ดีของกลุ่มแรงงานนั้น ควรต้องเร่งส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาด้านความรู้ทางการเงินและทัศนคติที่ดีเรื่องการเงินอย่างเหมาะสม โดยออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้สำหรับแรงงานในแต่ละกลุ่ม เนื่องจากมีความต้องการและความจำเป็นที่แตกต่างกัน ควบคู่ไปกับการออกมาตราการของภาครัฐในการควบคุมการก่อหนี้บุคคลและแรงงาน ซึ่งควรกำหนดเพดานวงเงินสินเชื่อบุคคลที่สถาบันการเงินต่างๆ จะสามารถปล่อยกู้ให้แก่ประชาชนแต่ละคนได้ รวมทั้ง ควรส่งเสริมให้มีการออมแบบภาคบังคับ พร้อมไปกับการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญเรื่องการออมและการบริหารการเงินส่วนบุคคล นอกจากนี้ การส่งเสริมในเรื่องการหารายได้เพิ่มโดยการสร้างอาชีพเสริมให้แก่แรงงานนั้น อาจเป็นอีกทางออกหนึ่งที่สามารถช่วยเหลือแรงงานให้มีรายได้เพียงพอต่อรายจ่าย และมีการออมเงินอีกด้วย

กล่าวโดยสรุป การแก้ไขปัญหานั้นแบ่งออกเป็น 2 แนวทาง คือ (1) แก้ไขปัญหาหนี้สินแรงงาน (2) เสริมสร้างความรู้และความตระหนักรู้เรื่องการบริหารการเงินแก่แรงงาน สำหรับแนวทางแรก หน่วยงานภาครัฐ สถานประกอบการ และเครือข่ายแรงงาน จำเป็นต้องร่วมมือกันในการจำกัดระดับหนี้สินไม่ให้เพิ่มขึ้น และหาแนวทางในการชำระคืนหนี้ ส่วนแนวทางที่สอง สิ่งสำคัญที่ต้องทำเป็นอันดับแรก คือ การสร้างความตระหนักรู้ถึงมหันตภัยของหนี้ประเภทต่างๆ และการให้ความสำคัญเรื่องความรู้ด้านการเงิน อันจะทำให้แรงงานไม่ตกเป็นทาสของหนี้นอกระบบ และสามารถเลือกใช้สินค้าทางการเงินต่างๆ เช่น บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด ได้อย่างชาญฉลาด สุดท้ายนี้ หากมีการส่งเสริมแรงงานไทยให้มีความเข็มแข็งที่เพียงพออย่างจริงจังแล้ว เศรษฐกิจของประเทศไทยย่อมที่จะสามารถเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไป

No comments:

Post a Comment