Monday, March 24, 2014

พูดถึงเรื่อง CSR...เรื่อง CSR ที่มีการพัฒนา


CSR ที่มีพัฒนาการ

พีรานันต์ ปัญญาวรานันท์

ผู้จัดการโปรแกรมความรับผิดชอบต่อสังคม

สถาบันคีนันแห่งเอเซีย

 

ไม่บ่อยนักที่เราได้เห็นพัฒนาการของการดำเนินกิจกรรมด้าน CSR ที่สามารถก้าวจากขั้นการบริจาคไปสู่การสร้างนวัตกรรมในชุมชน เพื่อเป็นการสร้างคุณค่าร่วมกันอย่างยั่งยืน หากย้อนกลับไปสู่วัตถุประสงค์ของการมี CSR นั้นก็เพื่อเป็นหลักคิดและแนวปฏิบัติให้กับองค์กรและบริษัทห้างร้านต่างๆ ให้ดำเนินกิจการโดยยึดมั่นการบริหารจัดการแบบบรรษัทภิบาลที่มีเหตุและมีผล ไม่สร้างผลกระทบด้านลบทั้งต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ทำให้สามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

           การมีส่วนร่วมกับชุมชนนั้นมิใช่เพียงการเชิญชุมชนเข้าไปเป็นผู้ร่วมงานเท่านั้น แต่ชุมชนควรมีโอกาสร่วมคิด ร่วมแสดงความคิดเห็น ออกแบบกิจกรรมกระบวนการ เป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน และ/หรือร่วมแชร์ทรัพยากรตามสภาพ หากว่าสิ่งที่ทำร่วมกันจะนำมาซึ่งการเสริมพลัง (Empower)และความสุขของชุมชน

จากประสบการณ์ในการดำเนินโครงการด้าน CSR พบว่า สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญในการเชื่อม CSR สู่นวัตกรรมชุมชนคือ เข้าใจและเข้าถึงองค์กรควรมีความสามารถในการเชื่อมโยงองค์กรตัวเองกับกระบวนการของภาพใหญ่ในชุมชนผ่านการประชุม หรือเสวนาอย่างสม่ำเสมอ จากนั้นใช้ความชำนาญของตนเอง เพื่อสร้างความคิดสิ่งใหม่ๆ  หรือ  การปรับปรุงวิธีการแล้วนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาชุมชนและสังคม ทำให้มีความแตกต่างจากการที่เคยดำเนินการอยู่ ให้ได้เป็นตัวอย่างในการพัฒนาต่อยอดชุมชนในอนาคต กระบวนการนี้ทำให้องค์กรและชุมชนได้พูดคุยกันอย่างสร้างสรรค์

อย่างไรก็ตามด้วยข้อจำกัดด้านองค์ความรู้เกี่ยวกับประเด็นการพัฒนาชุมชน งบประมาณ ความเข้าใจของผู้บริหารต่อความสำคัญในกระบวนการนี้ และกำลังคน ทำให้องค์กรที่ดำเนินกิจกรรม CSR ไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำกระบวนการเหล่านี้ก่อนจะเริ่มทำโครงการ CSR ที่สร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน   ท่ามกลางข้อจำกัดของการเชื่อม CSR สู่นวัตกรรมการมีส่วนร่วมกับชุมชนที่เพื่อสร้างคุณค่าร่วมกัน วันนี้เรามีตัวอย่างความสำเร็จจาก CSR ที่พัฒนาการและสร้างคุณค่าร่วมกันกับชุมชนแล้วจริงๆ

          เรื่องราวความสำเร็จในวันนี้เป็นธุรกิจรีสอร์ท ที่อำเภอวังทอง ตั้งอยู่ริมน้ำเข็ก ท่ามกลางป่าอันอุดมสมบูรณ์ บนถนนหมายเลข 12  ( พิษณุโลก-หล่มสัก ) กว่า 20 ปีที่แล้ว ยุคที่แนวคิดเชิง Eco ยังไม่แพร่หลาย เรนฟอเรสท์ รีสอร์ท ได้ถูกสร้างขึ้นให้เป็นเสมือนบ้านป่าฝนที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวกลุ่มรักธรรมชาติ หนีความวุ่นวายจากป่าเมืองมาอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ระดับที่เอาหินมาเป็นกำแพงบ้านเอาต้นไม้มาอยู่ในห้องพัก ปัจจุบันความเชี่ยวชาญด้านเกษตรอินทรีย์และเศรษฐกิจพอเพียงทำให้เกิดธุรกิจใหม่ เรนฟอเรสท์ฟาร์ม ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและศูนย์การเรียนรู้ ผักอินทรีย์  การพึ่งพาตัวเอง การเพาะเห็ด และการเลี้ยงไก่ไข่เพื่อใช้บริโภคในรีสอร์ทกลายเป็นจุดสร้างความแตกต่างของ   รีสอร์ทให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย  ต่อมาทางรีสอร์ทได้ร่วมกับเครือข่ายในชุมชนก่อตั้งองค์กรชื่อชมรมรักษ์น้ำเข็กเพื่อเป็นศูนย์รวมกิจกรรมการอนุรักษ์ลำน้ำเข็กซึ่งได้หล่อเลี้ยงผู้คนในลุ่มน้ำเข็กทั้งประชาชน นักธุรกิจ พ่อค้าแม่ค้า ได้อาศัยลำน้ำเข็กเป็นที่ทำมาหากิน ค้าขายอาหาร ของที่ระลึก มานาน

เรื่องราวของ เรนฟอเรสท์ รีสอร์ท  ไม่ได้จบที่การออกแบบอิงธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังบริหารจัดการภายใต้แนวคิดโรงแรมสีเขียว การส่งเสริมจริยธรรมคุณธรรมให้กับพนักงานรวมไปถึงการเปิดให้ ผู้ที่อยู่ในชุมชนและนักเรียนที่อยู่ในท้องถิ่นได้เข้ามามีโอกาสฝึกงาน หารายได้ในระหว่างปิดเทอม แนวคิดนี้เริ่มจากการที่ผู้ก่อตั้งรีสอร์ท “คุณเล็ก-ณัฐวัฒน์ วัฒนาประสิทธิ์” ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มสถานศึกษาที่อยู่รอบๆ รีสอร์ท ผ่านกิจกรรมร่วมกันเก็บขยะในชุมชน สู่การบริจาคไข่ไก่ที่ได้จากฟาร์มให้กับโรงรียน  ไปจนกระทั่งเป็นวิทยากรให้กับสถานศึกษาเกี่ยวกับธนาคารขยะและเศรษฐกิจพอเพียง ได้เห็นโอกาสที่จะสามารถส่งเสริมเยาวชนนักเรียนในท้องถิ่นโดยการฝึกงานภายในรีสอร์ทเมื่อมีเวลาว่าง ทั้งนี้งานที่นักเรียนได้รับมอบหมายให้ทำในรีสอร์ทนั้นเป็นทั้งรูปแบบงานที่จะได้พูดคุยกับแขกและรูปแบบการทำงานอยู่ในส่วนอื่นๆ ดังนั้นรีสอร์ทจะต้องใช้เวลามากขึ้นในการฝึกอบรม และขัดเกลาให้เยาวชนที่เข้ามาฝึกงานสามารถทำงานได้ตามระบบมาตรฐานที่มีอยู่

ล่าสุดเรนฟอเรสท์ ชมรมรักษ์ลำน้ำเข็กร่วมกับอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า Technical Rescue Team (TRT) นักปีนผาและอาสาสมัคร ที่ลานหินแตกและลานหินปุ่ม อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ร่วมพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในที่ที่ทำความสะอาดยากเช่นตามหน้าผาและซอกหินลึก ๆ เป็นการสร้างสำนึกให้กับนักท่องเที่ยว และชุมชนให้ร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและแหล่งท่องเที่ยวของตน พร้อมทั้งเป็นการฝึกทักษะให้กับเจ้าหน้าที่ที่ TRT และอุทยานฯภูหินร่องกล้าด้วย นี่เป็นตัวอย่างการใช้ความเชี่ยวชาญและกระบวนการคิดอย่างมีประสิทธิภาพและมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์แบบเอกชน ประสานความร่วมมือจากหลากหลายองค์กร ผนวกกับความต้องการของชุมชนอย่างสร้างสรรค์ ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง บทเรียนเรื่องพลวัตของ CSR นั้นนอกจากจะขึ้นอยู่กับ ความมุ่งมั่นและความเชี่ยวชาญขององค์กรแล้ว สิ่งที่จะต้องให้ความสนใจไม่แพ้กันคือตัวแปรด้านการเปลี่ยนแปลงของสังคมและชุมชนที่จะสร้างทิศทางการพัฒนาโครงการ CSR ที่ได้รับความร่วมมือและเป็นประโยชน์ต่อชุมชนและสังคมอย่างแท้จริง

Tuesday, March 11, 2014

ปัจจัยแห่งความสำเร็จกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ไทยในภูมิภาคอาเซียน+8


ปัจจัยแห่งความสำเร็จกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ไทยในภูมิภาคอาเซียน+8

โดย วีณา คิ้วงามพริ้ง และ สฤษดิ์ สงวนวงศ์ สถาบันคีนันแห่งเอเซีย

  

ในปัจจุบัน มีกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่ก้าวขึ้นมามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ ทั้งยังมีแนวโน้มการเจริญเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมนี้เรียกรวมกันว่า กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ ที่ประกอบไปด้วย อุตสาหกรรมแอนิเมชั่น เกม และอีเลิร์นนิ่ง กลุ่มอุตสาหกรรมนี้มีบทบาทโดดเด่นในหลายประเทศ โดยมีพัฒนาการทางเทคโนโลยีเป็นปัจจัยส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดความก้าวหน้าในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว

ประเทศไทยเองก็มีบุคลากรที่มีความสามารถและผลงานเป็นที่ประจักษ์และเป็นที่ยอมรับในกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ในระดับสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาคอุตสาหกรรมแอนิเมชั่น

เพื่อขับเคลื่อนกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ในประเทศไทย สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จึงได้ให้การสนับสนุนงบประมาณแก่สถาบันคีนันแห่งเอเซียในการศึกษาวิจัย ภายใต้หัวข้อ “แนวทางการเป็นศูนย์กลาง Supply Chain และสร้างเครือข่ายความร่วมมือผู้ประกอบการ SMEs ไทยกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ในภูมิภาคอาเซียน+8 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำการศึกษาและทำความเข้าใจกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ในประเทศไทยและห่วงโซ่อุปทานของกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ในภูมิภาคอาเซียน+8 พร้อมทั้งนำเสนอด้านนโยบาย ยุทธศาสตร์ และกลยุทธ์แก่ภาครัฐในการส่งเสริมและผลักดันให้กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ของไทยสามารถพัฒนาและแข่งขันได้ในตลาดโลก

ทั้งนี้ ประเทศในกลุ่มอาเซียน+8 นั้นประกอบไปด้วยประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 10 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน เมียนมาร์ เวียดนาม สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และไทย และประเทศคู่เจรจาของอาเซียนอีก 8 ประเทศคือ เกาหลีใต้ จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย อินเดีย รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา

จากการศึกษาพบว่า ศักยภาพของผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ของไทยใน ภาคอุตสาหกรรมแอนิเมชั่นและเกม ในปัจจุบันมีความเข้มแข็งในเรื่องของการรับจ้างผลิตงาน (Outsource) จากประเทศชั้นนำในอุตสาหกรรม เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศญี่ปุ่น ฯลฯ โดยรับช่วงงานในขั้นตอนการผลิต (Production) และหลังการผลิต (Post-production) เช่น ภาพ Background เสื้อผ้าของตัวละคร การใส่เสียงประกอบ ฯลฯ ซึ่งเป็นส่วนกลางของห่วงโซ่อุปทาน เนื่องจากบุคลากรของไทยมีทักษะฝีมือทางศิลปะและประสบการณ์ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ รวมทั้งมีอัตราค่าจ้างที่สมเหตุสมผล ทว่าผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและเกมของไทยยังขาดเงินทุนและทักษะทางด้านการเขียนบทเพื่อก้าวไปสู่ขั้นตอนแรกของห่วงโซ่อุปทานในการคิดค้นผลงาน (Conception/Research) และการผลิตในขั้นต้น (Pre-production) รวมทั้งยังขาดทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับขั้นตอนสุดท้ายของห่วงโซ่อุปทานในการจัดจำหน่ายผลงาน (Distribution) ในระดับสากล  

สำหรับใน ภาคอุตสาหกรรมอีเลิร์นนิ่ง แม้ผู้ประกอบการไทยจะมีศักยภาพเพียงพอและครบครันในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทาน ทั้งในเรื่องของการคิดค้นเนื้อหา (Content/Conception) การพัฒนาเนื้อหาหลักสูตร (Authoring & Development) การวางระบบ (Enterprise Systems) และการเชื่อมโยงสู่ผู้ใช้การเรียนการสอนระบบอีเลิร์นนิ่ง (Delivery & Collaboration Platforms) ทว่ายังเป็นในระดับประเทศเท่านั้น เนื่องจากยังไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมให้แข่งขันได้ในระดับสากล เนื่องจากขาดเงินทุนและบุคลากรที่เพียงพอในการพัฒนาเนื้อหา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื้อหาหลักสูตรที่เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งมีคู่แข่งเป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักและผู้บริโภคให้ความมั่นใจในหลักสูตรเนื้อหามากกว่า เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสิงคโปร์ ฯลฯ

การศึกษาฉบับนี้ได้นำเสนอยุทธศาสตร์และกลยุทธ์การส่งเสริมเพื่อพัฒนาและผลักดันกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ของไทยให้สามารถก้าวไปเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ในตลาดอาเซียน+8 ได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้

การขับเคลื่อนกลุ่มอุตสาหกรรมในระดับนโยบายของรัฐควรเรียนรู้จากตัวอย่างและประสบการณ์ในประเทศที่ประสบความสำเร็จ (Best Practices) ในกลุ่มอาเซียน+8 ซึ่งสามารถพัฒนาให้กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ของตนเป็นผู้นำในตลาดโลก โดยประเทศเหล่านี้มี ปัจจัยแห่งความสำเร็จ ในแนวทางเดียวกันที่ประเทศไทยจะสามารถเรียนรู้และปฏิบัติตามได้ ดังต่อไปนี้

1)                  กำหนดให้กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์เป็น อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ (Priority Sectors) ของประเทศ

2)                  กำหนด ยุทธศาสตร์การพัฒนา กลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้ให้เป็นยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนในระดับชาติ

3)                  กำหนดให้มี หน่วยงานหลัก เพียงหน่วยงานเดียว เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการขับเคลื่อนและประสานการดำเนินนโยบายตามยุทธศาสตร์แห่งชาติที่กำหนดขึ้น ให้มีอำนาจและทรัพยากรที่เพียงพอสำหรับการขับเคลื่อนการพัฒนากลุ่มอุตสาหกรรมให้เป็นแบบองค์รวมและบูรณาการ

4)                  กำหนดให้มี งบประมาณ สนับสนุนการขับเคลื่อนและมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมอย่างเพียงพอต่อเนื่องในระยะยาวจนสามารถประสบผลสำเร็จ

ในด้าน ยุทธศาสตร์สำหรับอุตสาหกรรมแอนิเมชั่นและเกม สามารถขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกันได้ เนื่องจากลักษณะห่วงโซ่อุปทาน การผลิตผลงาน และทักษะของบุคลากรของทั้งสองอุตสาหกรรมมีความเกี่ยวโยงกัน รวมทั้งปัจจัยส่งเสริมที่ยังต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐของภาคอุตสาหกรรมทั้งสองมีความคล้ายคลึงกัน โดย ยุทธศาสตร์ในระยะสั้น ควรเน้นที่การเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่การผลิตในฐานะผู้รับจ้างผลิต (Outsource) และ ยุทธศาสตร์ในระยะยาว ควรเน้นที่การพัฒนางานลิขสิทธิ์ของตนเอง สร้างความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ในฐานะผลงานของไทยเพื่อการแข่งขันในระดับสากลต่อไป

สำหรับกลยุทธ์ในการผลักดันและส่งเสริมการพัฒนาของทั้งสองอุตสาหกรรม ควรมีดังนี้ 1) ส่งเสริมปัจจัยที่เอื้อต่อการดำเนินการและพัฒนาภาคอุตสาหกรรม (ปัจจัยแวดล้อม) ได้แก่ การพัฒนาบุคลากร การเข้าถึงแหล่งเงินทุน การปรับปรุงและผลักดันกฏหมาย กฏระเบียบ มาตรการทางภาษี และการให้สิทธิประโยชน์ที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจ 2) เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม (ส่งเสริมผู้ประกอบการโดยตรง) ได้แก่ การสร้างโอกาสและเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการ การพัฒนาความรู้ด้านแผนธุรกิจและการตลาดของผู้ประกอบการ การสร้างความเชื่อมั่นในศักยภาพของอุตสาหกรรมในระดับประเทศและระดับสากล และการพัฒนาการสร้างสรรค์งานลิขสิทธิ์ เป็นต้น 

                ในส่วนของยุทธศาสตร์สำหรับ ภาคอุตสาหกรรมอีเลิร์นนิ่ง แม้จะมีความเกี่ยวโยงกับอุตสาหกรรมแอนิเมชั่นและเกมในการนำผลงานของทั้งสองอุตสาหกรรมมาประยุกต์ใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนได้ ทว่าห่วงโซ่อุตสาหกรรม เนื้อหา และกลุ่มผู้บริโภคของอุตสาหกรรมนี้มีความแตกต่างจากภาคอุตสาหกรรมทั้งสอง ทำให้ยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมอีเลิร์นนิ่งมีความแตกต่างออกไป โดยควรเน้นเป้าหมายทั้งในระยะสั้นและระยะยาวในการสร้างตลาดในประเทศให้เข้มแข็งเสียก่อน เพื่อพัฒนาจุดแข็งของอุตสาหกรรมสำหรับการก้าวไปสู่การแข่งขันในระดับสากลต่อไป 

ในด้านกลยุทธ์สำหรับผลักดันและส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมอีเลิร์นนิ่ง ควรมีดังนี้ 1) ส่งเสริมปัจจัยที่เอื้อต่อการดำเนินการและพัฒนาภาคอุตสาหกรรม (ปัจจัยแวดล้อม) โดยใช้มาตรการเช่นเดียวกับ อุตสาหกรรมแอนิเมชั่นและเกม 2) เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม (ส่งเสริมผู้ประกอบการโดยตรง) ได้แก่ การพัฒนาการสร้างสรรค์เนื้อหาหลักสูตร การสร้างโอกาสและเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการ

หากประเทศไทยสามารถดำเนินนโยบายและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ดังกล่าวได้อย่างเป็นรูปธรรม แนวโน้มที่กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนท์ของไทย รวมทั้งผู้ประกอบการและบุคลากรที่เกี่ยวข้องจะได้รับโอกาสในการพัฒนาศักยภาพและผลงานเพื่อก้าวสู่ระดับสากลอย่างมั่นคงก็ไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถอีกต่อไป